สงครามครูเสด(The Crusads) (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
ภาพกรุงเยรูซาเลมในสงครามครูเสดครั้งแรก
สงครามครูเสด (อังกฤษ: Crusades; อาหรับ: الحروب الصليبية; อัลฮุรูบ อัศศอลีบียะหฺ หรือ الحملات الصليبية อัลฮัมลาต อัศศอลีบียะหฺ แปลว่า "สงครามไม้กางเขน")
เป็นชุดสงครามรบนอกประเทศทางศาสนา ที่ถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่
2 และศาสนจักรคาทอลิก มีเป้าหมายที่แถลงไว้เพื่อฟื้นฟูการเข้าถึงที่ศักดิ์สิทธิ์ในและใกล้เยรูซาเล็มของคริสเตียน เยรูซาเล็มเป็นนครศักดิ์สิทธิ์และสัญลักษณ์ของศาสนาเอบราฮัมหลักทั้งสาม
(ศาสนายูดาย ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม)[1] ภูมิหลังสงครามครูเสดเกิดเมื่อเซลจุคเติร์กมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือกองทัพไบแซนไทน์เมื่อ
ค.ศ. 1071 และตัดการเข้าถึงเยรูซาเล็มของคริสเตียน จักรพรรดิไบแซนไทน์ อเล็กซิสที่
1 ทรงเกรงว่าเอเชียไมเนอร์ทั้งหมดจะถูกบุกรุก
พระองค์จึงทรงเรียกร้องผู้นำคริสเตียนตะวันตกและสันตะปาปาให้มาช่วยเหลือกรุงคอนสแตนติโนเปิลโดยไปจาริกแสวงบุญหรือสงครามศาสนาเพื่อปลดปล่อยเยรูซาเล็มจากการปกครองของมุสลิม[2] อีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะการทำลายล้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคริสเตียนเป็นจำนวนมากและการเบียดเบียนคริสต์ศาสนิกชนภายใต้อัล-ฮาคิม กาหลิปราชวงศ์ฟาติมียะห์
นักรบครูเสดประกอบด้วยหน่วยทหารแห่งโรมันคาทอลิกจากทั่วยุโรปตะวันตก
และไม่อยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชารวม สงครามครูเสดชุดหลัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พุ่งเป้าต่อมุสลิมในเลแวนต์ (Levant) เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1095 ถึง 1291
นักประวัติศาสตร์ให้ตัวเลขสงครามครูเสดก่อนหน้านั้นอีกมาก
หลังมีความสำเร็จในช่วงแรกอยู่บ้าง สงครามครูเสดช่วงหลังกลับล้มเหลว
และนักรบครูเสดถูกบังคับให้กลับบ้าน ทหารหลายแสนคนกลายเป็นนักรบครูเสดโดยการกล่าวปฏิญาณ[3] สมเด็จพระสันตะปาปาให้การไถ่บาปบริบูรณ์
(plenary indulgence) แก่ทหารเหล่านั้น
สัญลักษณ์ของนักรบเหล่านี้ คือ กางเขน คำว่า "ครูเสด" มาจากภาษาฝรั่งเศส
หมายถึง การยกกางเขนขึ้น ทหารจำนวนมากมาจากฝรั่งเศสและเรียกตนเองว่า
"แฟรงก์" ซึ่งกลายเป็นคำสามัญที่มุสลิมใช้[4]
คำว่า "ครูเสด"
ยังใช้อธิบายการทัพที่มีเหตุจูงใจทางศาสนาที่ดำเนินระหว่าง ค.ศ. 1100 และ 1600
ในดินแดนนอกเหนือไปจากเลแวนต์ โดยมักเป็นสงครามกับพวกนอกศาสนา นอกรีตและประชาชนภายใต้การห้ามบัพพาชนียกรรม (excommunication) ด้วยเหตุผลด้านศาสนา
เศรษฐกิจและการเมืองผสมกัน
การแข่งขันกันระหว่างคริสเตียนและมสุลิมยังนำไปสู่พันธบัตรระหว่างกลุ่มแยกศาสนาต่อคู่แข่งของตน
เช่นคริสเตียนเป็นพันธมิตรกับรัฐสุลต่านรูมที่นับถืออิสลามระหว่างสงครามครูเสดครั้งที่ห้า
สงครามครูเสดส่งผลกระทบใหญ่หลวงทางการเมือง
เศรษฐกิจและสังคมต่อยุโรปตะวันตก
มันส่งผลให้จักรวรรดิไบแซนไทน์ที่นับถือคริสต์อ่อนแอลงมาก และเสียให้แก่เติร์กมุสลิมในอีกหลายศตวรรษต่อมา เรกองกิสตา สงครามอันยาวนานในคาบสมุทรไอบีเรีย ซึ่งกำลังคริสเตียนพิชิตคาบสมุทรคืนจากมุสลิม
มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสงครามครูเสด
สงครามครูเสดแต่ละครั้ง
มีสงครามครูเสดเกิดขึ้นหลายครั้ง
แต่ครั้งที่สำคัญที่ใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 11 ถึง 13
ซึ่งมีสงครามใหญ่ๆเกิดขึ้นถึง 9 ครั้งในมหาสงครามครั้งนี้และยังมีสงครามย่อยๆเกิดอีกหลายครั้งในระหว่างนั้น
สงครามบางครั้งก็เกิดขึ้นภายในยุโรปเอง เช่น ที่สเปน และมีสงครามย่อยๆเกิดขึ้นตลอดศตวรรษที่
16 จนถึงยุคเรอเนสซองซ์ และการปฏิรูปศาสนา
สงครามครูเสดครั้งที่ 1 ค.ศ.
1095-1101
สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่
2 ในสภาแห่งเคลียมอนท์ประกาศให้แย่งชิงแดนศักดิสิทธิ์คืน
เริ่มต้นเมื่อปี 1095 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่
2 (Urban
II) แห่งกรุงโรม รวบรวมกองทัพชาวคริสต์ไปยังกรุงเยรูซาเลม
ช่วงแรกกองทัพของปีเตอร์
นักพรต(Peter the Hermit) นำล่วงหน้ากองทัพใหญ่ไปก่อน
ส่วนกองทัพหลักมีประมาณ 50,000 คนซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศฝรั่งเศส นำโดย โรเบิร์ต เคอร์โทส ดยุกแห่งนอร์มังดีโอรสของสมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่
1 แห่งอังกฤษ
ในที่สุดเมื่อปี 1099
กองทัพก็เดินทางจากแอนติออคมาถึงกำแพงเมือง
และยึดฐานที่มั่นใกล้กำแพงเข้าปิดล้อมเยรูซาเลมไว้ กองกำลังมุสลิมที่ได้รับการขนานนามว่า ซาระเซ็น ได้ต่อสู้ด้วยความเข้มแข็ง ทว่าท้ายที่สุดนักรบครูเสดก็บุกฝ่าเข้าไป
และฆ่าล้างทุกคนที่ไม่ใช่ชาวคริสต์กระทั่งชาวมุสลิมในเมืองหรือชาวยิวในสถานที่ทางศาสนาก็ล้วนถูกฆ่าจนหมด
เหลือเพียงผู้ปกครองเดิมในขณะนั้นซึ่งได้รับอนุญาตให้ออกไปได้
แต่ทว่าข่าวการรบนั้นไม่อาจไปถึงพระสันตะปาปา เนื่องจากพระองค์สิ้นพระชนม์ในอีกไม่กี่วันถัดมา
ผู้นำเหล่านักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับเลือกคือ ก็อดฟรีย์ แห่ง บูวียอง ซึ่งอยู่ในตำแหน่งนานหนึ่งปีจึงเสียชีวิต
เดือนกรกฎาคมปี 1100 บอลด์วินจากเอเดสซาจึงขึ้นสืบเป็นกษัตริย์
พระองค์อภิเษกกับเจ้าหญิงอาร์เมเนีย แต่ไร้รัชทายาท พระองค์สวรรคตในปี 1118
ผู้เป็นราชนัดดานามบอลด์วินจึงครองราชย์เป็นกษัตริย์บอลด์วินที่
2 แห่งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ มีราชธิดา 3 พระองค์
และที่น่าสนใจคือครั้งนี้บัลลังก์สืบทอดทางธิดาองค์โตหรือมเหสี
และพระสวามีจะครองราชย์แทนกษัตริย์องค์ก่อน
สงครามครูเสดมีสาเหตุหลักมาจากความแตกต่างทางความเชื่อในศาสนาแต่ละศาสนา
จนทำให้ไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน
ซึ่งผู้เริ่มต้นคือชาวมุสลิมต้องการครอบครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คือ กรุงเยรูซาเลม
นอกจากนั้นเหตุผลทางการเมืองก็เป็นอีกสาเหตุของสงครามด้วย เพราะในสมัยนั้นเศรษฐกิจในยุโรบตกต่ำ
บิช๊อปผู้นำศาสนาในโรมันคาทอลิกเรืองอำนาจมาก และมีอำนาจเหนือกษัตริย์
และครอบครองทรัพย์สินมหาศาล ขนาดมีความเชื่อในตอนนั้นว่า
ถ้าเป็นไปได้พ่อแม่ทุกคนอยากให้บุตรชายของตนเป็นนักบวชเพื่อจะเป็นบิช๊อบ หรือโบ๊ป
ผู้นำศาสนา
สงครามครูเสดได้คร่าชีวิตและทรัพย์สินของมนุษยชาติอย่างมากมายมหาศาล
เพราะบิช๊อบอ้างว่าเขาสามารถล้างบาปให้กับนักรบครูเสดได้ และอนุญาตให้ปล้น ฆ่า
ยึดทรัพย์พวกนอกศาสนาได้ ซึ่งหลัการนี้ไม่มีในพระคำภีร์ไบเบิ้ล
อีกทั้งขุนนางในสมัยนั้นต้องการยึดทรัพย์สินของพวกยิวที่ร่ำรวย และต้องการมีอิทธิพลในยุโรบไปจนถึงตะวันออกกลางจึงใช้ข้ออ้างของศาสนามาอ้างในการทำสงครามครั้งนี้
ผลของสงครามครูเสดนี้ฆ่าคนไปจำนวนมากมายนับจากยิวในยุโรบไปจนถึงยิวในเยรูซาเร็ม
และทำให้ชาวมุสลิมและคริสเตียนบาดหมางกันทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ทั้งสองศาสนา
แม้ทั้งสองจะมีความต่างกันแต่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในดินแดนแถบนั้น
และสงครามครูเสดทำให้ความขัดแย้งเหล่านั้นยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ผลของสงครามครูเสดนั้น
ทำให้ยุโรปเกิดความเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ทำให้เกิดการติดต่อระหว่าง
โลกตะวันตกและตะวันออก ในรูปแบบการทำการค้า ซึ่งเรียกว่า ยุคปฏิรูปการค้า และ
ทำให้เกิดยุก ฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ การการสร้างสถาปตยกรรมที่รวมกันของสองศาสนา
ตลอดจนความรู้ การศึกษาขึ้นมาด้วย
สงครามครูเสดครั้งที่ 2 (1147–1149)
ลัทธิศักดินา (Feudalism) ที่พวกครูเสดนำมาใช้ในเอเชียน้อย (Asia
Minor )นี้ได้ระบาดในหมู่พวกมุสลิมเช่นกัน พวกมุสลิมชนชาติต่าง ๆ
ในตะวันออกกลางต่างก็แก่งแย่งถืออำนาจกัน แตกออกเป็นหลายนคร
อิมาดุดดีน ซังกี (Imaduddin Zangi) ผู้เป็นบุตรคนหนึ่งของ อัก สุนกูร
อัลฮาญิบ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองฮะลับ หรืองอเลปโป (ภาษาละติน: Aleppo) ภายใต้อาณาจักรของ มะลิกซาห์ ใน ค.ศ. 1127 ได้เป็นอะตาเบก (เจ้านคร) แห่งโมสุล และต่อมา 1128
ก็ได้รวบรวมอเลปโปเข้าอยู่ใต้อำนาจของตน โดยเข้าข้างกษัตริย์แห่งสัลญูก
ซึ่งกำลังแย่งชิงเขตแดนต่าง ๆ ของอาณาจักรอับบาสียะหฺ ในปี ค.ศ. 1135
เขาพยายามตีนครดามัสคัส เมื่อรวบรวมให้อยู่ใต้อำนาจ แต่ก็ไม่สำเร็จ
ระหว่างทางที่ถอยทัพกลับไปอเลปโป ก็ได้เข้าตีนครฮิมสฺ เพื่อยึดมาเป็นของตน
แต่ตีไม่สำเร็จ สองปีต่อมา ซังกีย้อนกลับมาตีนครฮิมสฺอีกครั้ง
แต่ก็ไม่สำเร็จอีกเช่นกัน
ทางนครดามัสคัสเมื่อกลัวว่าซังกีจะยกทัพมาประชิตเมืองอีกครั้ง
ก็ได้ผูกสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรเยรูซาเลมของพวกครูเสด
ซังกียกทัพไปตีพวกครูเสด จนเกิดปะทะกันที่บารีน
ฟูล์ก เจ้าราชอาณาจักรเยรูซาเลมพ่ายแพ้ พากองทัพที่รอดตายหนีออกจากนครเยรูซาเลม
ซังกีได้ผูกสัมพันธไมตรีกับนครดามัสคัส
เมื่อเห็นว่าตนไม่มีความสามารถที่จะเอาชนะได้ ประกอบกับได้ข่าวว่า จักรพรรดิยอห์น
คอมเนนุส (John Comnenus) ได้ยึดเอานครอันติออก ที่พวกครูเสดปกครองอยู่นั้น
เข้ามาอยู่ในอาณาจักรไบแซนไทน์ และได้ส่งกองทัพมาประชิตเมืองอเลปโปของตน
พวกครูเสดที่ส่งมาโดยจักรพรรดิยอห์น คอมเนนุส (John Comnenus) พวกนี้ยึดเมืองบุซาอะ
(Buzaa) ได้ฆ่าพวกผู้ชายทั้งหมดแล้วกวาดต้อนผู้หญิงและเด็กไปเป็นทาส
แม้ซังกีจะวางแผนการเพื่อยึดนครดามัสคัสอีกในเวลาต่อมา
ถึงขั้นกับสมรสกับนางซุมุรรุด มารดาเจ้านคร ด้วยการยกเมืองฮิมสฺเป็นสินสอด
และต่อมาเจ้านครก็ถูกลอบสังหาร ซังกีก็ไม่อาจจะยึดเอานครดามัสคัสเป็นของตนได้
เวลาต่อมา นครดามัสคัสก็กลับไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพวกครูเสดอีกครั้ง
และได้ร่วมกันโจมตีกองทัพของซังกีที่บานิยาส
ซังกีได้ยกทัพเข้าตีนครเอเดสสาที่อยู่ภายใต้พวกครูเสดแตกเมื่อวันที่
24 ธันวาคม ค.ศ. 1114 จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครูเสดครั้งที่ 2
ซังงีถูกทาสรับใช้ของตน ซึ่งเป็นชาวแฟรงก์
ลอบสังหารเมื่อวันที่ 5 เราะบีอุษษานีย์ 541 ตรงกับวันที่ 14 กันยายน 1146
ซังงีมีบุตร 4 คน ล้วนเป็นคนมีความสามารถทั้งสิ้น
ในระหว่างความยุ่งยากนี้พวกคริสต์ในเมืองเอเดสสา
คิดกบฏฆ่าทหารมุสลิมที่รักษาเมืองและได้รับความช่วยเหลือจากพวกแฟรงก์
ภายใต้การนำของโยสเซลิน (Joscellin) ยึดเมืองเอเดสสาได้ แต่บุตรสองคนของซังงี ชื่อ นูรุดดีน มะฮฺมูด
(ฝรั่งเรียก Noradius) ตีเมืองเอเดสสากลับคืนมาได้
พวกที่ก่อกบฏและทหารแฟรงก์ถูกฆ่า พวกอาร์มิเนียนที่เป็นต้นคิดกบฏถูกเนรเทศ
และนูรุดดีนสั่งให้รื้อกำแพงเมือง
ผู้คนต่างหนีออกจากเมืองจนเมืองเอเดสสากลายเป็นเมืองร้าง
การสูญเสียเมืองเอเดสสาเป็นครั้งที่ 2 นี้
ได้ก่อให้เกิดการโฆษณาขนานใหญ่ในยุโรป นักบุญเซ็นต์เบอร์นาร์ด (Bernard Clairvaux) ซึ่งฉลาดในการพูดและได้ฉายาว่า
ปีเตอร์นักพรตคนที่สอง ได้เที่ยวเทศนาปลุกใจนักรบ
ให้ร่วมกันป้องกันสถานกำเนิดแห่งศาสนาคริสต์ เหตุนี้ทำให้พวกคริสเตียนตกใจกลัวยิ่งนักว่า
พวกสัลญูกตุรกีจะยกทัพมาตียุโรป และตนจะไม่ได้เป็นเจ้าของศาสนสถานในปาเลสไตน์อีก
การปลุกใจครั้งนี้ไม่เร้าใจแต่เพียงขุนนาง อัศวินและสามัญชน
ซึ่งเป็นส่วนในสงครามครูเสดครั้งแรกเท่านั้น พวกกษัตริย์ต่าง ๆ ก็พลอยนิยมไปด้วย
พระเจ้าหลุยส์ที่ 7
แห่งฝรั่งเศสได้ถือเอาสงครามครูเสดเป็นเครื่องเบี่ยงบ่ายการกระทำอันโหดร้าย
ต่อพลเมืองบางพวกที่เป็นกบฏต่อพระองค์ กษัตริย์คอนราดที่ 3
แห่งเยอรมันเข้าร่วมทัพด้วย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1147 ข้างพระเจ้าหลุยส์ที่
7 แห่งฝรั่งเศส มีพระมเหสีร่วมไปในกองทัพด้วย
ชื่ออิเลนอร์ (Eleanor of Guienne มเหสีคนนี้ต่อมาไปสมรสกับพระเจ้าเฮนรี่ที่
2 ของอังกฤษ)
การที่ราชินีเข้าร่วมกองทัพด้วยทำให้ผู้หญิงฝรั่งเศสอีกจำนวนมากอาสาเข้ากองทัพครูเสด
ซึ่งคราวนั้นมีพลประมาณ 900,000 คน
พวกฝรั่งเศสได้กระทำชู้กับหญิงในกองทัพอย่างเปิดเผย
กองทัพของสองกษัตริย์ได้รับการต่อต้านและเสียหายอย่างหนัก
ส่วนหนึ่งกองทัพของกษัตริย์คอนราดถูกทำลายที่เมืองลาซิกียะหฺ
(ภาษาละติน: Laodicea หรือ
Latakia) ส่วนกองทัพของพระเจ้าหลุยส์ที่ 7
ที่ยกมาทางทะเลก็ถูกโจมตียับเยินโดยเฉพาะที่เมืองก็อดมูส (Babadagh ปัจจุบันในตุรกี ภาษาละติน: Cadmus) อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกครูเสดมีกำลังพลมาก
จึงเหลือรอดมาถึงเมืองอันติออก
ซึ่งเวลานั้นพวกขุนนางและอัศวินจำนวนมากพักอยู่ในเมืองอันติออก ซึ่งเวลานั้นเรย์มอง
ผู้เป็นลุงของราชินีอีเลนอร์
เป็นผู้ปกครองเวลานั้นพวกขุนนางและอัศวินจำนวนมากพักอยู่ในเมืองอันติออกเช่น
เคาน์เตสแห่งดูลูส (Countess of blois) เคาน์เตสแห่งรูสสี (Countess
of Roussi) ดัชเชสแห่งบุยยอง (Duchess of Bouillon), Sybille
แห่งฟแลนเดอร์ส และสตรีของผู้สูงศักดิ์อื่น ๆ อีก
แต่จอมราชินีของพวกเขา คือมเหสีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 7
เมื่อพักผ่อนและสนุกสนานกับพวกผู้หญิงเพียงพอแล้ว
พวกครูเสดก็ยกทัพเข้าล้อมเมืองดามัสคัส แต่ไม่สำเร็จ เพราะนูรุดดีน และสัยฟุดดีน
อัลฆอซี บุตรทั้งสองของซังกี ได้ยกทัพมาช่วย
ทั้งกษัตริย์คอนราดแห่งเยอรมนีและพระเจ้าหลุยส์ที่ 7
แห่งฝรั่งเศสได้เลิกทัพกลับยุโรป
พวกครูเสดต้องล่าทัพกลับบ้านเมืองด้วยความผิดหวังและสูญเสียอย่างหนัก
ส่วนพวกครูเสดที่มาจากพวกยุโรปเหนือ
ก็ได้เคลื่อนทัพจนถึงโปรตุเกส แล้วได้ร่วมมือกับกษัตริย์อัลฟอนโซ
เพื่อโจมตีนครลิสบอน และขับไล่พวกมุสลิมออกจากนครนี้ในปี
1147กองทัพครูเสดจากเยอรมันได้เข้าไปโจมตีพวกสลาฝที่อยู่รอบอาณาเขตอาณาจักรเยอรมัน
สงครามครูเสดครั้งที่ 3 (1187–1192)
ศอลาฮุดดีน อัลอัยยูบีย์ ได้ตีเอานครเยรูซาเลมกลับคืนมาเป็นของพวกมุสลิมอีกครั้งในปี
1187
เมื่อศอลาฮุดดีนได้ข่าวพวกแฟรงก์ยกทัพมา จึงประชุมนายทัพโดยให้ความเห็นว่าจะโจมตีพวกนี้ขณะเดินทัพอยู่
แต่พวกนายพลว่าให้ตีเมื่อมาถึงชานเมืองอักกะ (Acre) พวกครูเสดได้ตั้งทัพล้อมเมืองนี้ไว้
และปีกข้างหนึ่งจดทะเล ทำให้สามารถรับเสบียงจากยุโรปได้สะดวก
ถ้าศอลาฮุดดีนได้เริ่มโจมตีพวกนี้ขณะเดินทาง ก็คงไม่ประสบสถาณะคับขันเช่นนี้
พวกตุรกีจากเมืองใกล้ ๆ ก็ยกทัพมาช่วย และในวันที่ 1 ชะอฺบาน 585 (14 กันยายน 1189
) ศอลาฮุดดีนได้เริ่มโจมตีพวกครูเสด หลานชายของท่านคนหนึ่งชื่อ ตะกียุดดีน
ได้แสดงความกล้าหาญมากในการรบ ตอนนี้ทหารศอลาฮุดดีนมีกำลังน้อยกว่าพวกครุเสดมาก
เพราะต้องกระจายกำลังป้องกันเมืองหน้าด่านต่าง ๆ
เช่นที่ยืนยันเขตแดนติดเมืองตริโปลี, เอเดสสา, อันติออก อเล็กซานเดรีย ฯลฯ ในรอบนอกเมืองอักกานั้น พวกครูเสดถูกฆ่าราว 10,000 คน ได้เกิดโรคระบาดขึ้นเพราะด้วยศพทหารเหล่านี้
เนื่องจากติดพันอยู่การสงคราม ไม่สามารถรักษาที่รบให้สะอาดได้
ศอลาฮุดดีนเองได้รับโรคระบาดนี้ด้วย
แพทย์แนะนำให้ถอนทหารและได้ยกทัพไปตั้งมั่นอยู่ที่ อัลคอรรูบะหฺ
พวกครูเสดจึงยกทัพเข้าเมืองอักกาและเริ่มขุดคูรอบตัวเมือง
ศอลาฮุดดีนได้มีหนังสือไปยังสุลฎอนของมอร็อคโคให้ยกทัพมาสมทบช่วยแต่พวกนี้ได้ปฏิเสธ
ในฤดูใบไม้ผลิศอลาฮุดดีนได้ยกทัพมาโจมตีเมืองอักกาอีก
พวกครูเสดได้เสริมกำลังมั่นและสร้างหอคอยหลายแห่ง
แต่ทั้งหมดถูกกองทัพศอลาฮุดดีนยิงด้วยด้วยลูกไฟ เกิดไฟไหม้ทำลายหมด
ตอนนี้กำลังสมทบจากอียิปต์มาถึงทางเรือและกำลังการรบจากที่อื่นมาด้วย
พวกแฟรงก์เสียกำลังการรบทางแก่อียิปต์อย่างยับเยิน
พวกครูเสดถูกฆ่าและเสียกำลังทัพมาก แต่ในปลายเดือนกรกฎาคม 1190
เคานต์เฮนรี่แห่งแชมเปญ
ผู้มีสายสัมพันธ์กับพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสได้ยกทัพหนุนมาถึง
ศอลาฮุดดีนได้ถอยทัพไปตั้งมั่นที่อัลคอรรูบะหฺอีก ได้ทิ้งกองทหารย่อย ๆ ไว้
ซึ่งได้ต่อสู้พวกครูเสดอย่างกล้าหาญ ตอนนี้พวกครูเสดไม่สามารถคืบหน้าได้
จึงจดหมายไปยังโปีปขอให้จัดทัพหนุนมาช่วย
พวกคริสเตียนได้หลั่งไหลกลับมาสมทบพวกครูเสดอีกครั้ง
เพราะถือว่าการรบ"พวกนอกศาสนา"ครั้งนี้ทำให้ตนถูกเว้นบาปกรรมทั้งหมดและได้ขึ้นสวรรค์
ศอลาฮุดดีนจัดทัพรับมือพวกนี้อย่างเต็มที่ ให้ลูกชายของตนชื่อ อะลีย์ อุษมาน
และฆอซี อยู่กลางทัพ ส่วนปีกทางขวาให้น้องชายชื่อสัยฟุดดีนเป็นแม่ทัพ
ทางซ้ายให้เจ้านครต่าง ๆ คุม แต่ในวันประจัญบานกันนั้นตัวศอลาฮุดดีนเองป่วย
จึงได้เฝ้าดูการสุ้รบจากยอดเขาแห่งหนึ่ง พวกครูเสดถูกตีฟ่ายตกทะเลได้รับความเสียหายอย่างหนัก
พวกนี้เริ่มขาดแคลนอาหารและโดยที่ฤดูหนาวย่างเข้ามา จึงพักการรบ
เมื่อถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ คือเดือนเมษายน 1191
พวกครูเสดได้รับทัพหนุนเพิ่มขึ้นอีก โดยพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสได้ยกทัพมา
พร้อมกันนั้นพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์แห่งอังกฤษก็ยกทัพมาอีกด้วย มีเรือรบมา 20 ลำ
เต็มไปด้วยทหารและกระสุน กำลังหนุนของศอลาฮุดดีนมาไม่พร้อม
ทหารมุสลิมในเมืองอักกามีกำลังน้อยกว่าจึงขอยอมแพ้พวกครุเสด
โดยแม่ทัพมุสลิมมีนคนหนึ่งชื่อ มัชตูบ
ผู้คุมกำลังป้องกันอักกาได้อุทรต่อพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสแต่ถูกปฏิเสธเว้นแต่
พวกมุสลิมจะยอมยกเมืองเยรูซาเลมให้ พวกมุสลิมจึงกลับสู้รบอีกจนสุดชีวิต
ขณะการล้อมเมืองและการสู้รบอยู่เป็นเช่นนี้ได้เกิดโรคระบาดเกิดขึ้น
ในที่สุดมีเงื่อนไขว่า พวกมุสลิมจะต้องคืนไม้กางเขน(ดั้งเดิมสมัยพระเยซู)
และต้องเสียค่าปรับเป็นทอง 200,000 แท่ง แต่เนื่องจากต้องเสียเวลาหาทองจำนวนเท่านี้
กษัตริย์ริชาร์ดใจสิงห์แห่งอังกฤษ
ผู้ที่นักประวัติศาสตร์เคยยกย่องและชื่นชมกันนั้นได้จับทหารมุสลิมจำนวน 27,000 คน ออกจากเมืองและสับต่อหน้าต่อตาคนทั้งหลาย
เมืองอักกาตกอยู่ในมือพวกครูเสดที่บ้าศาสนาเหล่านี้
ส่วนทัพศอลาฮุดดีนต้องถอยทัพไปตั้งที่อื่นเพราะกำลังน้อยกว่าและกำลังหนุนไม่มีพอ
ตอนหนึ่งมีเรือจากอียิปต์ลำเลียงเสบียงมาช่วย แต่เกือบถูกครูเสดยึดได้
นายเรือจึงสั่งให้จมเรือพร้อมทั้งคนในเรือทั้งหมด
กองทัพครูเสดภายใต้การนำของพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ได้บุกไปยังอัสก็อลาน
(ภาษาละติน: Ascolon) ศอลาฮุดดีนได้ยกกองทัพไปยันไว้ได้มีการรบกันอย่างกล้าหาญถึง
11 ครั้ง ในการรบที่อัรสูฟ ศอลาฮุดดีนเสียทหารราว 8,000 คน
ซึ่งเป็นทหารชั้นดีและพวกกล้าตาย เมื่อเห็นว่าอ่อนกำลังป้องกันปาเลสไตน์ไม่ได้
จึงยกทัพไปยังอัสก็ออลาน อพยพผู้คนออกหมดแล้วรื้ออาคารทิ้ง เมื่อพระเจ้าริชาร์ดมาถึง
ก็เห็นแต่เมืองร้าง จึงทำสัญญาสงบศึกด้วย โดยได้ส่งทหารไปพบน้องชายศอลาฮุดดีนชื่อ
สัยฟุดดีน (ภาษาละติน: Saphadin) ทั้งสองได้พบกัน
ลูกของเจ้านครครูเสดคนหนึ่งเป็นล่าม
พระเจ้าริชาร์ดจึงให้บอกความประสงค์ที่อยากให้ทำสัญญาสงบศึก พร้อมทั้งบอกเงื่อนไขด้วย
ซึ่งเป็นเงือนไขที่ฝ่ายมุสลิมยอมรับไม่ได้ การพบกันครั้งนั้นไม่ได้ผล
ฝ่ายมาร์ควิสแห่งมองเฟอร์รัดผู้ร่วมมาในกองทัพด้วยเห็นว่าการทำสัญญาโอ้เอ้
จึงส่งสารถึงศอลาฮุดดีน โดยระบุเงื่อนไขบางอย่าง แต่สัญญานี้ไม่เป็นผลเช่นกัน
ต่อมาพระเจ้าริชาร์ดขอพบศอลาฮุดดีนและเจรจาเรื่องสัญญาสงบศึกอีก
โดยเสนอเงื่อนไขว่า พวกครูเสดต้องมีสิทธิครอบครองเมืองต่าง ๆ ที่ได้ตีไว้
และฝ่ายมุสลิมต้องคืนเยรูซาเลมให้พวกครูเสด พร้อมกับไม้กางเขนที่ทำด้วยไม้
ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นไม้ที่พระเยซูถูกพวกยิวตรึงทรมานด้วย
ศอลาฮุดดีนปฏิเสธที่จะยกเมืองเยรูซาเลมให้พวกครูเสด
แต่ยอมในเรื่องให้เอาไม้กางเขนที่กล่าวในเงื่อนไขที่ว่า
พวกครูเสดต้องปฏิบัติตามสัญญาของตนอย่างเคร่งครัด
การเจรจานี้ก็ไม่เป็นผลอีกเช่นกัน
พระเจ้าริชาร์ดจึงหันไปเจรจากับสัยฟุดดีนใหม่โดยให้ความเห็นว่าการเจรจานี้
จะเป็นผลบังคับเมื่อศอลาฮุดดีนยินยอมด้วยในปั้นปลาย เงื่อนไขมีว่า
1.
กษัตริย์ริชาร์ดยินดียกน้องสาวของเขาผู้เป็นแม่หม้าย(แต่เดิมเป็นมเหสีของกษัตริย์ครองเกาะสิซิลี)ให้แก่สัยฟุดดีน(น้องชายศอลาฮุดดีน)
2.
ของหมั้นในการสมรสนี้คือ
กษัตริย์ริชาร์ดจะยกเมืองทั้งหมดที่พระองค์ตีได้ ตามชายทะเลให้น้องสาวของตน
และศอลาฮุดดีนก็ต้องยกเมืองต่าง ๆ ที่ยึดได้ให้ น้องชายเป็นการทำขวัญเช่นกัน
3.
ให้ถือเมืองเยรูซาเลมเป็นเมืองกลาง ยกให้แก่คู่บ่าวสาวนี้
และศาสนิกของทั้งสองฝ่ายมีสิทธิ์ที่จะใปมาพำนัก อยู่ในเมืองนี้อย่างเสรี
บ้านเมืองและอาคารทางศาสนาที่ปรักหังพัง ต่างช่วยกันซ่อมแซม
ศอลาฮุดดีนยอมตามเงื่อนไขนี้
แต่สัญญาก็ไม่เป็นผลอีก เพราะพวกพระในศาสนาคริสต์ไม่ยอมให้พวกคริสเตียนยกลูกสาว, น้องสาว
หรือผู้หญิงฝ่ายตนไปแต่งงานกับมุสลิมผู้ที่พวกเขาถือว่าเป็น“พวกนอกศาสนา”
พวกบาทหลวงได้ชุมนุมกันที่จะขับพระเจ้าริชาร์ดออกจากศาสนาคริสต์ให้ตกเป็นคน
นอกศาสนาไปด้วย และได้ขู่เข็ญน้องสาวของพระองค์ต่าง ๆ นานา
กษัตริย์ริชาร์ดจึงได้เข้าพบสัยฟุดดีนอีก
ขอให้เปลี่ยนจากการนับถืออิสลามมาเป็นคริสเตียน แต่สัยฟุดดีนปฏิเสธ
ในขณะเดียวกันกษัตริย์ริชาร์ดเกิดการรำคาญการแทรกแซงของมาร์ควิสแห่งมอง เฟอรัด
จึงจ้างให้ชาวพื้นเมืองลอบฆ่า เมื่อเรื่องมาถึงเช่นนี้
กษัตริย์ริชาร์ดก็ท้อใจอยากยกทัพกลับบ้าน เพราะตีเอาเยรูซาเลมไม่ได้
ได้เสนอเงื่อนไขที่จะทำสัญญาสงบศึกกับศอลาฮุดดีนไม่ยอมต่อเงื่อนไขบางข้อ
เพราะบางเมืองที่กล่าวนั้นมีความสำคัญต่อการป้องกันอาณาจักรอย่างยิ่ง ไม่สามารถปล่อยให้หลุดมือไปได้
แต่ความพยายามของนักรบทั้งสองนี้ยังคงมีต่อไป จนในที่สุดเมื่อวันที่ 22 ชะอฺบาน
588 (2 กันยายน 1192)
ทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาสงบศึกเป็นการถาวรและกษัตริย์ริชาร์ดได้ยกทัพกลับบ้านเมือง
เขายกทัพผ่านทางตะวันออกของยุโรปโดยปลอมตัว แต่กลับถูกพวกเป็นคริสเตียนจับไว้ได้คุมขังไว้
ทางอังกฤษต้องส่งเงินจำนวนมากเพื่อไถ่ตัวเขา
สงครามครูเสดครั้งที่ 3 ก็ยุติลงเพียงนี้
ด้วการสูญเสียชีวิตมนุษย์นับแสน ผู้คนนับล้านไร้ที่อยู่ บ้านเมืองถูกทำลาย
หลังจากนั้นศอลาฮุดดีนได้ยกทหารกองเล็ก ๆ ไปตรวจตามเมืองชายฝั่ง และซ่อมแซมสถานที่ต่าง
ๆ และได้กลับมาพักที่ดามัสคัสพร้อมครอบครัว จนกระทั่งถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 27
ศอฟัร 589 (4 มีนาคม 1193) มีอายุเพียง 55 ปี
สงครามครูเสดครั้งที่
4
สงครามครูเสดครั้งที่ 4 (อังกฤษ: Fourth Crusade) (ค.ศ. 1202-ค.ศ. 1204) เป็นสงครามครูเสด[3][4]ครั้งที่สี่ที่เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1202 และสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1204 จุดประสงค์แรกของสงครามก็เพื่อยึดเยรูซาเลมคืนจากมุสลิม แต่ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1204 นักรบครูเสดจากยุโรปตะวันตกก็เข้ารุกรานและยึดเมืองคอนสแตนติโนเปิลที่เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์ของอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์แทนที่
ซึ่งถือกันว่าเป็นวิกฤติการณ์สุดท้ายที่ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างคริสต์ศาสนจักรตะวันออกและตะวันตก (East-West Schism) ระหว่างอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ และ โรมันคาทอลิก
ภูมิหลัง
หลังจากความล้มเหลวของสงครามครูเสดครั้งที่
3 (ค.ศ. 1189-ค.ศ. 1192) แล้วทางยุโรปก็หมดความสนใจในการเข้าร่วมในการต่อต้านมุสลิมในสงครามครูเสดใหม่ เยรูซาเลมมาตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์อัยยูบิด (Ayyubid dynasty) ผู้ปกครองซีเรียทั้งหมดและอียิปต์นอกจากเมืองสองสามเมืองริมฝั่งทะเลที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของนักรบครูเสดของราชอาณาจักรเยรูซาเลมที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เอเคอร์ และในราชอาณาจักรบนเกาะไซปรัสที่ก็ก่อตั้งระหว่างสงครามครูเสดครั้งที่
3
สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 ทรงได้รับตำแหน่งสมเด็จพระสันตะปาปาในปี
ค.ศ. 1198 และการเข้าร่วมสงครามครูเสดครั้งใหม่กลายมาเป็นพระประสงค์หลักของพระองค์
แต่ก็ไม่มีพระมหากษัตริย์กี่พระองค์ที่แสดงความสนพระทัยเท่าใดนัก ฝ่ายเยอรมนีเองก็มีความขัดแย้งกับอำนาจของพระสันตะปาปา
และอังกฤษและ ฝรั่งเศสก็ยังยุ่งอยู่กับการทำสงครามต่อกัน แต่เมื่อฟุลค์แห่งเนยยี (Fulk of Neuilly) เริ่มเทศน์ก็เริ่มมีผู้กระตือรือร้นรวบรวมกองทัพครูเสดกันในการจัดการแข่งขันการประลองยุทธ
(tournament) กันที่เอครี (Écry) โดยธีโอบอลด์ที่
3 เคานท์แห่งชองปาญ (Theobald III,
Count of Champagne) ในปี ค.ศ. 1199
ธีโอบอลด์ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำแต่มาเสียชีวิตเสียก่อนในปี ค.ศ. 1200 โบนิฟาซที่ 1 มาควิสแห่งมอนต์เฟอร์รัต (Boniface I, Marquess
of Montferrat) เคานท์จากอิตาลีจึงมารับหน้าที่แทน
โบนิฟาซและผู้นำคนอื่นๆ ส่งตัวแทนไปยังสาธารณรัฐเวนิส, สาธารณรัฐเจนัว และในนครรัฐต่างๆ
เพื่อเจรจาต่อรองทำสัญญาในหาพาหนะในการเดินทางไปโจมตีอียิปต์
เจนัวไม่สนใจกับข้อเสนอ แต่ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1201
ก็มีการเปิดการเจรจากับเวนิสผู้ตกลงขนย้ายทหารครูเสดจำนวน 33,500 คนซึ่งเป็นจำนวนที่ออกจะสูง
ข้อตกลงนี้ทางเวนิสต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีในการเตรียมตัวต่างๆ ที่รวมทั้งการสร้างเรือและฝึกกลาสีผู้ควบคุมเรือ
ซึ่งทำให้เมืองเวนิสต้องหยุดยั้งการทำมาหากินอื่นๆ
คาดกันว่ากองทัพครูเสดจะประกอบด้วยอัศวิน 4,500 (พร้อมกับม้า
4,500 ตัว), ผู้รับใช้ขุนนาง 9,000 คน และ ทหารราบอีก 20,000 คน
กองทัพครูเสดส่วนใหญ่ที่มาจากฝรั่งเศสเดินทางออกจากเวนิส ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1202
ทหารเหล่านี้มาจากบลัวส์, ชองปาญ, อาเมียงส์, แซงต์โปล, อีล-เดอ-ฟรองซ์ และ เบอร์กันดี นอกจากนั้นก็ยังมีกองทัพจากบริเวณอื่นในยุโรปที่มีจำนวนพอสมควรเช่นที่มาจากฟลานเดอร์ส, มอนต์เฟอร์รัต และจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และ สังฆราชคอนราดแห่งฮาลเบอร์ชตัท พร้อมทั้งทหารจากเวนิสเองที่นำโดยเอนริโค
ดันโดโลดยุคแห่งเวนิส กองทัพมีจุดประสงค์ที่จะมุ่ตรงไปยังศูนย์กลางของมุสลิมที่ไคโรและพร้อมที่จะเดินทางเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1202 ข้อตกลงนี้ได้รับการอนุมัติโดยสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่
3 โดยมีข้อห้ามการโจมตีรัฐคริสเตียน[5]
5.
^ "History of the Church",
Innocent III & the Latin East, p.370, Philips Hughes, Sheed & Ward, 1948.
สงครามครูเสดครั้งที่
5
สงครามครูเสดครั้งที่ 5 (อังกฤษ: Fifth Crusade) (ค.ศ. 1217-ค.ศ. 1221) เป็นสงครามครูเสดที่พยายามยึดเยรูซาเลมและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดคืนโดยเริ่มด้วยการโจมตีรัฐมหาอำนาจของอัยยูบิดในอียิปต์
สมเด็จพระสันตะปาปาโฮโนริอุสที่ 3 ทรงรวบรวมกองทัพครูเสดโดยการนำของเลโอโปลด์ที่
4 ดยุคแห่งออสเตรีย (Leopold VI,
Duke of Austria) และ สมเด็จพระเจ้าแอนดรูว์ที่ 2 แห่งฮังการี ต่อมาในปี ค.ศ. 1218
กองทัพเยอรมนีที่นำโดยโอลิเวอร์แห่งโคโลญและกองกำลังหลายชาติที่ประกอบด้วยกองทัพชาวเนเธอร์แลนด์, เฟลมมิช และฟรีเชียนที่นำโดยวิลเลียมที่ 1 เคานท์แห่งฮอลแลนด์ (William I, Count of
Holland) ก็มาร่วม ในการที่จะโจมตีดามิยัตตาในอียิปต์ฝ่ายครูเสดก็ไปเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรสุลต่านแห่งรัมในอานาโตเลียผู้โจมตีอัยยูบิดในซีเรียเพื่อที่ป้องกันไม่ให้นักรบครูเสดต้องเผชิญกับการต่อสู้กับศัตรูพร้อมกันสองด้าน
หลังจากยึดเมืองท่าดามิเอตตาได้แล้วนักรบครูเสดก็เดินทัพลงใต้ต่อไปยังไคโรในเดือนกรกฎาคมในปี ค.ศ.
1221 แต่ต้องหันทัพกลับเพราะเสบียงร่อยหรอลง การจู่โจมยามกลางคืนของสุลต่านอัล-คามิลทำให้ฝ่ายครูเสดเสียงทหารไปเป็นจำนวนมาก
อัล-คามิลตกลงในสัญญาสงบศึกแปดปีกับยุโรป
เรียกเข้าสงคราม
ในปี ค.ศ. 1213 สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 ทรงออกพระบัญญัติ “Quia
maior” เรียกร้องให้ผู้คนในคริสต์ศาสนจักรเข้าร่วมในสงครามครูเสด แต่ก็ไม่มีพระมหากษัตริย์และพระจักรพรรดิของยุโรปใด้ที่สนพระทัยเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการต่อสู้กันเอง
พระสันตะปาปาอินโนเซนต์เองก็ไม่ทรงต้องการความช่วยเหลือจากกลุ่มนี้เพราะเมื่อพระมหากษัตริย์นำการต่อสู้ในสงครามครูเสดครั้งที่ 2 ก็ประสบความล้มเหลว
พระองค์จึงทรงสั่งให้มีขบวนแห่, การสวดมนต์
และการเทศนาเพื่อเป็นการชักชวนให้คนทั่วไป ขุนนางระดับรอง และอัศวินเข้าร่วม
อ้างอิง
คำถามท้ายบท
1.
สงครามครูเสดเกิดจาดปัจจัยอะไร?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น