ดัชนี'ทาสยุคใหม่'ทั่วโลกพุ่ง20%
ไทย4.7แสนคน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
(รายงาน) ดัชนี"ทาสยุคใหม่"ทั่วโลกพุ่ง20%
ไทย 4.7แสนคน-อันดับ 6 เอเชีย
เมื่อพูดถึง
"ทาส" ในประเทศไทย หลายคนคงทราบดีว่า
ได้มีการประกาศเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งนับถึงตอนนี้ก็เป็นเวลา 109 ปี ขณะที่ในระดับสากลได้มีการประกาศเลิกทาสมาแล้วร่วมๆ 200 ปี
แต่ทุกวันนี้หากถามใครต่อใครว่ายังมีคนเป็นทาสหลงเหลืออยู่หรือไม่ เชื่อว่าหลายคนคงตอบว่า มี
แต่ก็คงไม่มาก
ส่วนรูปแบบจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและสภาพของแต่ละสังคมมากน้อยเพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับขอบเขตหรือนิยามที่ใครจะกำหนดขึ้น
มูลนิธิ
วอร์ค ฟรี ฟาวเดชั่น (Walk
Free Foundation) องค์กรด้านสิทธิมนุษย์สากล นิยาม "ทาสสมัยใหม่" คือ การค้ามนุษย์ แรงงานบังคับ แรงงานขัดหนี้
การสมรสโดยบังคับหรือเพื่อรับใช้ หรือการแสวงหาประโยชน์ทางเพศเชิงพาณิชย์และเมื่อเร็วๆ นี้ทางมูลนิธิดังกล่าวได้เผยแพร่รายงาน ดัชนีการค้าทาสสากล (จีเอสไอ) ประจำปี 2557 โดยสำรวจจาก 167 ประเทศทั่วโลก ระบุว่า ทุกวันนี้ทั่วโลกมีประชากรชาย หญิง และเด็ก 35.8
ล้านคนยังถูกกดขี่เยี่ยงทาสอยู่ หากเปรียบเทียบกับการประเมินก่อนหน้านี้พบว่า ทาสยุคใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์
โดยในจำนวนนี้ 2 ใน 3 หรือประมาณ 23.5 ล้านคน อยู่ในทวีปเอเชีย มีประเทศอินเดีย
และปากีสถานที่อัตราผู้ถูกกดขี่เยี่ยงทาสอยู่ในอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับหากมองเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
ประเทศกัมพูชา เป็นประเทศที่มีอัตราผู้ถูกกดขี่เยี่ยงทาสสูงสุด ตามมาด้วย มองโกเลีย (0.907%) ประเทศไทย (0.709%) และบรูไน
(0.709%)
ขณะที่ ประเทศจีนและญี่ปุ่น อยู่ในอันดับที่ 19 และ 20 ของทวีปเอเชีย
ส่วนประเทศหรือเขตปกครองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกที่มีอัตราของการเป็นทาสต่ำสุดในทวีปเอเชีย คือ ฮ่องกง (0.187%) สิงคโปร์ (0.1%) และไต้หวัน (0.013%) โดยอยู่ในอันดับ 23 อันดับ 24 และอันดับ 25 ตามลำดับ
และมีเพียงสองประเทศในทวีปเอเชียเท่านั้นที่มีสถิติที่ดีกว่าประเทศเหล่านี้ ได้แก่
ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยอยู่ที่อันดับ 26 และ 27
ตามลำดับ
หากมองในแง่จำนวนสัมบูรณ์ ประเทศจีนมีจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในสภาพเยี่ยงทาสสมัยใหม่มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 3,241,400 คน
รองลงมาคือ ประเทศอินโดนีเซีย จำนวน 714,100 คน ประเทศไทย จำนวน 475,300 คน และประเทศเวียดนาม จำนวน 322,200 คน
ภาพรวมของทวีปเอเชียทั้งทวีป
บุคคลหรือบางครั้งครอบครัวทั้งครอบครัวถูกกดขี่เยี่ยงทาส เนื่องจากการขัดหนี้
และแรงงานตามพันธสัญญาในภาคก่อสร้าง เกษตรกรรม การทำอิฐ โรงงานเสื้อผ้า และการผลิต
ซึ่งถือเป็นแรงงานฝีมือต่ำในขั้นตอนการผลิตของระบบห่วงโซ่อุปทานในการผลิตทั่วโลก คนเหล่านี้จำนวนมากยังมีความเสี่ยงสูงต่อการกลายเป็นแรงงานบังคับเนื่องจากการอพยพย้ายถิ่นไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง
รายงานชิ้นนี้ ระบุด้วยว่า
บางประเทศที่ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมากนี้ได้เริ่มลงมือดำเนินขั้นตอนที่สำคัญเพื่อจัดการกับปัญหานี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศฟิลิปปินส์
ซึ่งได้รับค่าประเมินการตอบโต้ของรัฐบาลต่อปัญหานี้ในอัตราที่เท่าเทียมกับค่าประเมินของประเทศนิวซีแลนด์และไต้หวัน
จากทั้งหมด 25 ประเทศที่มีการจัดอันดับในทวีปเอเชีย
24 ประเทศได้ออกกฎหมายที่ระบุว่าบางรูปแบบของการเป็นทาสสมัยใหม่ถือเป็นความผิดทางอาญา
ด้านประเทศอินเดียได้มีการปฏิรูปกฎหมายอย่างจริงจังเพื่อสนับสนุนการจัดให้การเป็นทาสสมัยใหม่ถือเป็นความผิดทางอาญา
ส่วนมองโกเลียและเวียดนามลงมติรับรองกฎหมายที่สมบูรณ์ในตัวเองว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ในปี 2555 แต่ประเทศเกาหลีเหนือเป็นประเทศเดียวในทวีปเอเชียและในโลกที่ไม่ได้ระบุอย่างชัดแจ้งว่าการเป็นทาสสมัยใหม่ถือเป็นความผิดทางอาญา
นายแอนดรู ฟอร์เรส (Andrew
Forrest) ประธานและผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ บอกว่า
มีการตั้งสมมติฐานกันว่า การเป็นทาสนั้นเป็นปัญหาในยุคก่อน หรือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ต้องเผชิญกับภัยสงครามหรือความยากจนเท่านั้น
แต่ผลการสำรวจนี้แสดงให้เห็นว่า การเป็นทาสสมัยใหม่เกิดขึ้นได้ในทุกประเทศ
"การเป็นทาสสมัยใหม่มีอยู่จริงและก่อให้เกิดความลำเค็ญอย่างรุนแรงต่อเพื่อนร่วมโลกของเรา
ก้าวแรกในการขจัดการเป็นทาสให้หมดสิ้นไปคือการวัดอัตราการเป็นทาส และเมื่อเรามีข้อมูลที่สำคัญนี้แล้ว
เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ธุรกิจ หรือภาคประชาสังคมจะต้องร่วมมือกันยุติรูปแบบการแสวงประโยชน์ที่ร้ายแรงที่สุดนี้ให้หมดสิ้นไป"
ด้าน นายโม อิบราฮิม (Mo Ibrahim) ผู้ก่อตั้งดัชนีโม
อิบราฮิม (Mo Ibrahim Index) และมูลนิธิ โม อิบราฮิม
ฟาวเดชั่น (Mo Ibrahim Foundation) เสริมว่า การเป็นทาสสมัยใหม่ถือเป็นอาชญากรรมด้านมืดและขึ้นชื่อว่าคำนวณเป็นตัวเลขได้ยาก
แต่มูลนิธิ วอร์ค ฟรี ฟาวเดชั่น กำลังชูประเด็นอาชญากรรมที่เลวร้ายนี้เป็นที่ประจักษ์ด้วยวิธีค้นคว้าวิจัย
และวิธีการสำรวจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นทุกปี
สิ่งที่ได้เห็นในดัชนีการค้าทาสสากลประจำปี 2557 ฉบับนี้อีกประการ คือ
การรวมการดำเนินการของรัฐที่เกี่ยวกับการเป็นทาสสมัยใหม่เข้ามาในการสำรวจ
ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ดัชนีจีเอสไอเสนอบทวิเคราะห์เรื่องการตอบโต้ของรัฐบนพื้นฐานของเป้าหมาย
5 ประการ ได้แก่
1.การระบุตัวตนและการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่รอดชีวิต
2.กลไกกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่เหมาะสม 3.การให้ความร่วมมือและสำนึกรับผิดชอบภายในรัฐบาลกลาง 4.ระบุแจ้งการกระทำ ระบบสังคม และสถาบันใดๆ ที่ส่งเสริมการเป็นทาสสมัยใหม่ และ 5.การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและภาคธุรกิจ
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเป้าหมายที่ทุกประเทศควรมุ่งบรรลุให้สัมฤทธิผลเพื่อขจัดการเป็นทาสสมัยใหม่ให้หมดสิ้นไป