วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ครั้งที่ 4 บทที่ 5 จริยศาสตร์

ชื่อ..................นามสกุล................สาขา...............(พุธเช้า) บทที่ 5 ครั้งที่ 4 จงตอบคำถามที่กำหนดให้อธิบายมาอย่างละเอียดข้อละ 7 บรรทัดขึ้นไป (28 ส.ค.56) 1. คนที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมั่นใจหรือมีชีวิตที่เลิศล้ำสมบูรณ์ควรมีหลักธรรมอะไรเป็นองค์ประกอบ อธิบาย? 2. คุณธรรมของคนกับการเลือกดำเนินชีวิต ควรเป็นเช่นไร มีหลักธรรมอะไรประกอบบ้าง? 3. การมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ นักศึกษามีวิธีการดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการเรียน การงานและชีวิต?

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ผู้ที่หวังความเจริญก้าวหน้าต้องปฏิบัติหลักจริยธรรมดังนี้

หมั่นสำรวจความก้าวหน้า เรียกว่ามี อารยวัฒิ ๕ ประการ คือ ๑. ศรัทธา เชื่อตามเหตุผล ๒. ศีล ประพฤติเลี้ยงตนในทางสัมมาชีพ ๓. สุตะ ให้ฟังและเข้าใจหลักศาสนา ๔. จาคะ ให้รู้จักเสียสละแบ่งปัน ๕. ปัญญา ให้รู้เท่าทันเหตุการณ์

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เรียนรู้คู่การทำงาน สำคัญอย่างไร

เรียนรู้คู่การทำงาน สำคัญอย่างไร 6 มิ.ย.นี้หาคำตอบได้ในงาน"วันสหกิจศึกษาไทย ครั้งที่ 5 พ.ศ.2556" สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ร่วมกับสมาคมสหกิจศึกษาไทย และ 9 เครือข่ายพัฒนาสหกิจศึกษาผนึกกำลังจัดงาน "วันสหกิจศึกษาไทย"ครั้งที่ 5 ภายใต้แนวคิด "สหกิจศึกษาไทย กลไกลสู่การพัฒนาประชาคมอาเซียนพลัส" เขิญกูรูสหกิจศึกษาโลกปาฐกถาถึงเส้นทางและความสำเร็จของสหกิจศึกษา ชมนิทรรศการความก้าวหน้าของสหกิจศึกษา และร่วมชื่นชมความสำเร็จของสถานศึกษาและผู้ประกอบการกับรางวัลสหกิจศึกษาดีเด่นแห่งปี ณ Event Hall 106 A ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวถึงความเป็นมาของการจัดงานวันสหกิจศึกษาไทยว่า การจัดการศึกษาในรูปแบบสหกิจศึกษาเป็นรูปแบบการศึกษาที่บูรณาการการเรียนเข้ากับการทำงาน ซึ่งแตกต่างจากจัดการศึกษารูปแบบเดิมที่นักศึกษาจบออกไปแล้วไม่สามารถทำงานได้ทันทีเนื่องจากไม่มีความพร้อม ดังนั้นการสร้างความพร้อมให้กับผู้เรียนรูปแบบหนึ่งก็คือการเรียนควบคู่กับการทำงานหรือฝึกงานจริงในสถานประกอบการ โดยมีพี่เลี้ยงซึ่งเป็นคนทำงานในสถานประกอบการเป็นผู้ดูแลและมีอาจารย์นิเทศเป็นผู้ติดตามให้คำปรึกษา เป็นเวลา 16 สัปดาห์หรือ 1 ภาคการศึกษา โดยได้รับหน่วยกิตและค่าตอบแทนในระหว่างฝึกด้วย ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการจัดงานวันสหกิจศึกษาไทยก็เพื่อให้สถานศึกษา ผู้ประกอบการตลอดจนภาคสังคมได้มีความรู้ความเข้าใจ เห็นความสำคัญและประโยชน์ของการจัดการศึกษาแบบสหกิจศึกษา เพื่อจะได้เตรียมความพร้อมให้กับนักศึกษาของตัวเองก่อนที่จะจบออกไปทำงาน รศ.นพ.กำจร กล่าวอีกว่าขณะนี้มีมหาวิทยาลัยที่จัดสหกิจศึกษาไปแล้วประมาณ 50% ของมหาวิทยาลัยทั้งหมดที่มีอยู่ และช่วงหลังเป็นที่น่าสังเกตว่ามีมหาวิทยาลัยของเอกชนเข้ามามากขึ้น แต่ก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้ทำ ฉะนั้นจึงอยากเชิญชวนให้ได้เข้ามาชมงานนี้ จะได้ทราบว่าการจัดการศึกษาในรูปแบบของสหกิจศึกษาเหมาะกับหลักสูตรของมหาวิทยาลัยตัวเองหรือไม่ อย่างไร หรือไม่ส่วนผู้ประกอบการก็จะได้เห็นรูปแบบของการจัดสหกิจศึกษาและประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากการจัดสหกิจศึกษาร่วมกัน ที่เห็นชัดเจนก็คือเด็กที่รับเข้าไปไม่ต้องไปฝึกอีก สามารถทำงานได้ทันที และก็มีโอกาสได้พิจารณาเด็กที่เข้าไปฝึกงานว่าเขามีทักษะในงานและมีทัศคติต่องานหรือองค์กรอย่างไร ถ้ามีคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการก็สามารถรับเข้าทำงานหลังเรียนจบได้ทันที โดยไม่ต้องรับสมัครคนใหม่ เป็นการประหยัดเวลา งบประมาณในการฝึก และยังได้เด็กหน้าใหม่ๆที่สามารถทำงานได้เลย "งานนี้เราจัดมาแล้ว 4 ครั้ง ปีนี้เป็นครั้งที่ 5 ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จมาก อย่างแรกผู้ประกอบการมีความรู้ความเข้าใจรูปแบบของสหกิจศึกษามากขึ้น แต่ก่อนเข้าใจว่าเด็กฝึกงานคือเด็กที่ยังทำงานไม่เป็น ทำงานไม่ได้ เมื่อรับเข้าไปฝึกงานก็ไม่ได้ใช้ให้ทำงานจริงตามที่เรียนมา ส่วนใหญ่จะให้วิ่งไปซื้อข้าวของ ถ่ายเอกสาร แต่วันนี้ผู้ประกอบการเข้าใจแล้วว่าสหกิจศึกษาคืออะไร ในช่วง 2-3 ปีหลังนี้มีผู้ประกอบการจำนวนมากให้ความร่วมมือและร่วมจัดสหกิจศึกษากับสถานศึกษาต่างๆ นอกจากนี้พบว่าบัณฑิตที่จบหลักสูตรที่มีการจัดการศึกษาแบบสหกิจศึกษาได้งานทำเร็วกว่าบัณฑิตที่ไม่ผ่านการฝึกสหกิจศึกษา และมีบางรายที่ถูกจองตัวตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ" รศ.นพ.กำจรกล่าวรองเลขาธิการ สกอ.กล่าวถึงรูปแบบการจัดงานสหกิจศึกษาปีนี้ว่าจัดขึ้นภายใต้แนวคิด "สหกิจศึกษาไทย : กลไกสู่การพัฒนาประชาคมอาเซียนพลัส" ซึ่งนอกจากการฝึกงานในสถานประกอบการในประเทศแล้ว ยังร่วมกับสถานประกอบการในต่างประเทศจัดสหกิจศึกษาในต่างประเทศด้วย ขณะนี้ได้มีความร่วมมือในรูปแบบที่เรียกว่าสหกิจศึกษาสากลกับประเทศในประชาคมอาเซียน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และไทย และต่อไปจะมีลาว เขมร เวียดนาม บรูไนกำลังเข้ามา รวมถึงญี่ปุ่น จีน และประเทศในยุโรปด้วย คาดว่าก่อนประชาคมอาเซียนจะเปิดจะมีการจัดการสหกิจศึกษาร่วมกันครบทุกประเทศในอาเซียน ซึ่งจะช่วยให้บัณฑิตของเราสามารถจะไปทำงานที่ใดก็ได้ในอาเซียนหรือในโลกนี้ ซึ่งในงานจะมีนิทรรศการเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ส่วนบนเวทีก็จะมีการแสดงปาฐกถาเกี่ยวกับความสำเร็จของสหกิจศึกษา โดย Ms.Keiko Saito President of International Language & Culture Center Co., Ltd., ประเทศญี่ปุ่น & Executive Committee of WACE เสวนาในหัวข้อ "สหกิจศึกษานานาชาติ : รู้ชัด ปฏิบัติได้, เสวนาการนำผลการประเมินสหกิจศึกษาไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาหลักสูตร การเรียนการสอน, การแลกเปลี่ยนนักศึกษาสหกิจศึกษานานาชาติ โดยนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในวงการสหกิจศึกษา นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการและนวัตกรรมสหกิจศึกษาทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ โครงการงานสหกิจศึกษาของนักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาที่ได้รับรางวัลสหกิจศึกษาดีเด่น และพิธีมอบรางวัลสหกิจศึกษาดีเด่นระดับชาติทั้งในส่วนของสถานศึกษา นักศึกษาและสถานประกอบการ "ผมขอถือโอกาสนี้เชิญชวนสถานศึกษา คณาจารย์ นักศึกษา รวมไปถึงนักเรียน และพ่อแม่ผู้ปกครองได้มาร่วมงานนี้ แล้วท่านจะได้เข้าใจว่าทำไมลูกหลานของท่านจะต้องไปฝึกสหกิจศึกษา ฝึกแล้วดีต่ออนาคตของเขาอย่างไร ส่วนนักเรียนที่เข้ามาชมจะได้ตัดสินใจได้ว่าจะเลือกเรียนอะไร เพราะในหลักสูตรเดียวกัน มหาวิทยาลัยนี้มีสหกิจศึกษา แต่อีกมหาวิทยาลัยไม่มี จะตัดสินใจได้ว่าจะเลือกเรียนที่ไหน สำหรับผู้ลงทะเบียนร่วมงานในปีนี้ ขอเชิญพบกันวันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน 2556 เวลา 07.30 - 17.15 น.ณ Event Hall 106 A ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ส่วนท่านที่ไม่ได้ลงทะเบียนก็สามารถเข้าชมนิทรรศการต่างๆได้ตลอดทั้งวัน รองเลขาธิการ สกอ.กล่าวทิ้งท้าย

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บันทึกอาเซียน กับ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล

บันทึกอาเซียน กับ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล วันพุธที่ 24 เมษายน 2556 เวลา 00:03 น. ตอน ASEAN 2013 “Our People, Our Future” บันทึกอาเซียน | ASEAN Diary : ASEAN 2013 “Our People, Our Future” ระหว่างวันที่ 24-25 เมษายน 2013 ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ในฐานะประธานอาเซียนประจำปี จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 22 นับเป็นครั้งที่สี่ที่บรูไนรับหน้าที่ประธานอาเซียน สำหรับปีที่บรูไนเป็นประธานอาเซียนปีนี้ได้กำหนดแนวคิดหลักประจำปีว่า “Our People, Our Future Together”หรือ “ประชาชนของเรา, และอนาคตของเราร่วมกัน” หมายความว่าประชาชนพลเมืองของทั้งสิบรัฐสมาชิกอาเซียนนั้นถือได้ว่าร่วมอนาคตการเป็นประชาคมอาเซียนด้วยกัน ทั้งในประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน, ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน, และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน เป็นการยืนยันว่าอนาคตของภูมิภาคอาเซียนจะขึ้นอยู่กับการที่ประชาชนพลเมืองอาเซียนจะเคลื่อนที่เดินไปข้างหน้าอย่างไร ในการร่วมมือกันทำงานเพื่อความก้าวหน้าในการพัฒนาภูมิภาคอาเซียนทั้งหมดต่อไป สำหรับภาพสัญลักษณ์ปีอาเซียน 2013 : บรูไนกำหนดไว้เป็นรูปลายดอกไม้ “บังกา เบอร์ปูตา” (Bunga Berputar) ลายดอกไม้นี้จะพบเห็นทั่วไปในผ้าพิมพ์ลายดอกที่นิยมกันในบรูไน มีความหมายว่าอาเซียนก้าวหน้าอย่างมีพลังไม่หยุดยั้งในการตอบสนองความต้องการของสังคมในเรื่องการเมืองและความมั่นคง เรื่องเศรษฐกิจ และเรื่องสังคมและวัฒนธรรม ภาพคนสิบคนจับมือเชื่อมโยงกันแสดงถึงความสามัคคีของชาวอาเซียนในสิบประเทศ ในการมุ่งมั่นสร้างประชาคมทั้งสาม คือประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน, ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน, และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน สีแดง, ดำ, เหลือง, ขาว, และน้ำเงิน เป็นสีที่อยู่ในธงอาเซียน สีน้ำเงิน หมายถึง สันติภาพและความยืนยงสถาพรทางการเมือง สีแดง คือ ความกล้าหาญและพลวัตรในการธำรงไว้ซึ่งความมั่นคง สีขาว สะท้อนความบริสุทธิ์ สีเหลือง แสดงถึงความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ตราสัญลักษณ์อาเซียนตรงกลางหมายถึงการยืนหยัดมั่งคงถาวร, สันติภาพ, สามัคคีภาพ, และพลวัตรของอาเซียน เรื่องที่ผู้นำอาเซียนจะคุยกัน หรือลงนาม หรือประกาศปฏิญญา หรือลงนามในความตกลงร่วมกัน โดยปรกติแล้วก็จะมีการสำรวจความคืบหน้าในความร่วมมือระดับภูมิภาคอาเซียนทั้งสามเรื่องที่เป็นส่วนของทั้งสามประชาคม เพียงแต่ว่าเรื่องประชาคมเศรษฐกิจจะเป็นเรื่องเดียวที่วัดผลการทำงานร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรมได้ เพราะอาเซียนมีแผนงานและตารางการทำงานให้ตรงเป้าตามที่เรียกว่า “AEC Scorecard” ดังนั้น ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนจึงสามารถประเมินเป็นตัวเลขได้ว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเดินหน้าไปตามเป้าหมายที่ว้างไว้ได้แล้ว 77.5% เมื่อถึงปลายปี 2015 ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนก็ควรจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน นั่นหมายถึง 100% เรื่องที่มีปัญหาการประเมินอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ เรื่องการเมืองและความมั่นคง กับ เรื่องสังคมและวัฒนธรรม ทั้งสองเรื่องสองประชาคมนี้ไม่มีคู่มือประเมินที่จะให้คะแนนแบบ scorecard ได้ ที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของอาเซียนเคยหารือกันและแสดงความปรารถนาที่จะหาระบบประเมินความก้าวหน้าในเรื่องการเมือง-ความมั่นคง-สังคม-วัฒนธรรม ในอาเซียนให้ได้ แต่ก็ยังไม่มี การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนครั้งที่ 7 ก็ยังไม่ถึงกำหนดประชุม ซึ่งกำหนดไว้ในวันที่ 6-7 พฤษภาคม ที่บันดาเสรีเบกาวัน หลังจบการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 22 แล้ว อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่อาวุโสกลาโหมอาเซียนก็จัดประชุมเตรียมการกันไปก่อนแล้วเมื่อวันที่ 1 เมษายน ซึ่งพบว่ามีการกล่าวถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงในรูปแบบใหม่ที่มิใช่ด้านการเมืองหรือการทหาร เช่น ความมั่นคงด้านอาหาร พลังงาน และสิ่งแวดล้อม การจัดการภัยพิบัติ ปัญหาการก่อการร้ายข้ามชาติ ฯลฯ มีการหารือกันเรื่องการตั้งเครือข่ายศูนย์รักษาสันติภาพในอาเซียน (ASEAN Peace Keeping Centres Network) ตลอดจนการจัดการกระบวนการประสานงานเชื่อมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมกลาโหม ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียนไม่ใช่เรื่องของกระทรวงกลาโหมเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องของกระทรวงและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องอีกมากหลากหลาย ตลอดจนภาคเอกชนด้วย เพราะเรื่องความมั่นคงในโลกปัจจุบันนั้นกินความกว้างไปถึงเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมด้วย ในเมื่อเรื่องนี้ยากที่จะวัดผลให้คะแนนเป็นรูปธรรมได้ การทำงานด้านการเมืองและความมั่นคงของอาเซียนจึงเป็นงานที่ยากที่จะมองเห็นความคืบหน้าชัดเจน นอกจากจะดูที่เอกสารที่ถือเป็นสนธิสัญญา ความตกลงระหว่างประเทศต่าง ๆ ดูจากสถานการณ์โดยรวมในอาเซียนปีนี้คาดได้ว่าวาระการประชุมเรื่องเศรษฐกิจจะไม่มีประเด็นปัญหาอะไรที่เป็นเรื่องวิกฤติ แต่วาระการประชุมด้านการเมืองจะมีมารอการพิจารณาของผู้นำอาเซียนมากมายหลายเรื่อง โดยเฉพาะกรณีพิพาทเขตอธิปไตยในทะเล และปัญหาขัดแย้งระหว่างรัฐสมาชิกเรื่องเขตแดนบนบก โดยเฉพาะระหว่างมาเลเซียกับฟิลิปปินส์ และระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องปัญหาระหว่างประเทศเหล่านี้จะถูกบรรจุในวาระการประชุมหรือไม่เท่านั้นเอง หากเป็นเรื่องพรมแดนอันเป็นข้อพิพาทระหว่างประเทศก็อาจถูกเก็บไว้ให้เป็นเรื่องตัวต่อตัว หรือ “ทวิภาคี” ซึ่งจะดีกว่าที่จะบรรจุให้เป็นเรื่องของอาเซียนโดยตรง จะคงเหลือไว้ที่กลายเป็นเรื่องพหุภาคีในอาเซียนไปแล้วคือเรื่องพิพาทอธิปไตยเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 22 ที่บรูไนเป็นเจ้าภาพปลายเดือนเมษายนนี้ คาดได้แน่ว่าจะมีวาระเรื่องการเมืองและความมั่นคงอาเซียนเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าเรื่องเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนนั้นก็คงจะค่อยเป็นค่อยไป ในระยะยาว อาจจะนานหลายสิบปีกว่าชาวอาเซียนจะสร้างอัตลักษณ์ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ดูไทยกับกัมพูชาเป็ยแบบอย่างที่ไม่ควรเอาอย่างก็ได้ ทั้งสองสังคมเป็นชาวพุทธด้วยกัน แต่แย่งวัดฮินดูโบราณกันอย่างไม่เห็นแก่พระวิษณุหรือพระพรหม เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็ไปพึ่งผู้พิพากษาชาวคริสต์ในยุโรป โดยไม่รู้ว่าฝรั่งชาวคริสต์จะตัดสินให้อย่างไร หากชาวคริสต์ยึดแนวพุทธ คำพิพากษาก็จะเดินสายกลาง แล้วก็จะสร้างความไม่พอใจให้กับคู่กรณีชาวพุทธทั้งสองซึ่งละทิ้งทางสายกลางไปนานแล้ว การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งต่อไป เป็นครั้งที่ 23 บรูไนจะเป็นเจ้าภาพจัดในวันที่ 9-10 ตุลาคม จากนั้นต่อไปในปี 2014 สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า จะทำหน้าที่ประธานอาเซียนเป็นครั้งแรก สมเกียรติ อ่อนวิมล อ้างอิง: http://www.asean2013.gov.bn/index.php/about/about-theme-logo http://rtbnews.rtb.gov.bn/index.php?option=com_content&view=article&id=9797:aec-blueprint-implementation&catid=72:chairman-asean-2013&Itemid=107 http://rtbnews.rtb.gov.bn/index.php?option=com_content&view=article&id=9612:asean-defence-senior-officials-meeting&catid=72:chairman-asean-2013&Itemid=107

งานรับผิดชอบ ครั้งที่ 2-3

ชื่อ..................นามสกุล................สาขา...............(พุธ-ศุกร์)บทที่4 ครั้งที่ 2 จงตอบคำถามที่กำหนดให้อธิบายมาอย่างละเอียดข้อละ 7 บรรทัดขึ้นไป (14 ส.ค.56) 1. จริยธรรมกับบทบาทหน้าที่นักศึกษาที่พึงประสงค์คืออะไร มีอะไรบ้าง จงอธิบาย? 2. จริยธรรมกับบทบาทหน้าที่ของพ่อแม่มีความสำคัญอย่างไร มีอะไรบ้าง จงอธิบาย? 3. จริยธรรมควรเป็นหน้าที่ของใคร ทำอย่างไรจึงจะบังเกิดผลจงอธิบาย? ชื่อ..................นามสกุล................สาขา...............(พุธเช้า)บทที่ 5 ครั้งที่ 3 จงตอบคำถามที่กำหนดให้อธิบายมาอย่างละเอียดข้อละ 10 บรรทัดขึ้นไป (21 ส.ค.56) 1. ลูกที่ดีควรมีลักษณะอย่างไรในเชิงจริยศาสตร์ มีอะไรบ้าง? 2. การเชื่อฟังพ่อ แม่ ผู้มีประสบการณ์จะทให้ชีวิตดีขึ้นหรือแย่ลง? 3.คุณธรรมของคนกับคุณค่าของความเป็นค คืออะไร มีความแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย?

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ครั้งที่ 1 งานที่ได้รับมอบหมาย

ชื่อ..................นามสกุล................สาขา...............( บทที่ 4) ครั้งที่ 1 จงตอบคำถามที่กำหนดให้อธิบายมาอย่างละเอียดข้อละ 7 บรรทัดขึ้นไป (7-9ส.ค.56) 1. คำว่า ธรรม กับ อธรรม ให้ผลต่างกันอย่างไร จงอธิบาย? 2. ข่าวข่มขืน ปาระเบิด ปล้นจี้ นักศึกษาคิดว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร จงอธิบายพร้อมบอกวิธีแก้ปัญหามาด้วย? 3. จริยธรรมกับบทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ มีความสำคัญอย่างไร มีอะไรบ้าง จงอธิบาย?

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

A Comparison of the Effectiveness of the Study of Ethics Between Normal Study in the Classroom and the System of Online Study Through Siam Technology College’s CAI

A Comparison of the Effectiveness of the
Study of Ethics Between Normal   Study
in the Classroom and the System of
Online Study Through Siam
Technology Colleges CAI

Kitsadayut   Sangthong
Faculty of  Basic Education,
Siam Technology  College, Thailand
kitsadayut@gmail.Com

Abstract - This research was a comparative study of the Ethics proficiency between the formal study in the classroom and the study via Siam Technology College’s CAI online. The objectives of this research were as follows: 1) to compare the Ethics proficiency of  the pre-test period  and the  post-test period between  groups of students who studied in the formal classroom and the students who studied via CAI online; 2) to compare the difference of the Ethics proficiency of the post-test period between groups of the students who studied in the formal study in the classroom and the students who studied via CAI; 3) to know the validity of the Ethics proficiency of the students who studied in the formal study in the classroom and the students who studied via CAI online ; and 4) to study the students’ satisfaction towards the Ethics study via   CIA online.
The subjects were undergraduate students of the four years normal course and the four years transfer credits course of Siam Technology College, Bangkok, Thailand, belonging to all faculties, fields and courses, who were registered to study the Ethics in the first semester of the academic year 2012. They were divided into two groups of students of the Faculty of Business, the Faculty of Fine Arts, the Faculty of Accounting and the Faculty of Technology. The subjects were also two groups of students; the fist group were 75 first year students of three branches of technology course and two branches of the fine arts. They were assigned to study in the formal classroom, with the use of power point and textbook and the teacher’s lectures. The second group were 75 first year students of two branches of the Faculty of Business and the Faculty of Accounting. They were assigned to study via CAI online, by using computers to learn lessons online. The instruments used in collecting data were 1) the Ethics proficiency tests of the pre-test and the post-test each having 20 questions; and 2) questionnaire on students’ satisfaction towards the Ethics proficiency via CAI online. The used statistics were descriptive statistics, frequency, percentage, mean, standard deviation and inferential statistics including T-test.
The results of research were found as follows:
1.The Ethics efficiency entitled “The Morality and Roles and Duties of Students” of the first group of students who studied in the formal classroom and the second group of students who studied via CAI online, had statistic difference between the pre-test period and the post-test period at the level of average .05; and two groups of students had a higher level of average in the post-test than in the pre-test period.
2. The results of the comparison of difference of the Ethics efficiency entitled “The Morality and Role and Duties of the Students” between the students who studied in the formal classroom and the students who studied via CAI online, were found that the second group of students who studied via CAI online  had a higher level of average than the first group of students who studied in the formal classroom.
3. The validity of the Ethics proficiency entitled “The Morality and Roles and Duties of Students” who studied in the formal classroom had the level of average 0.41; which meant that the students in this group made a progress in the study in 14 percent increase. The validity of the Ethics proficiency entitled “The Morality and Roles and Duties of Students” of the students who studied via CAI online had the level of average 0.53; which meant that the students in this group made a progress in the study in 53 percent increase.
4.The students who studied Ethics via CAI online had satisfaction towards the study in the whole view of the highest level.

Keywords:  Effectiveness of the Study, CAI (Computer Assisted Instruction), Ethics


วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สงครามครูเสด(The Crusads)

สงครามครูเสด(The Crusads)  (จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)

ภาพกรุงเยรูซาเลมในสงครามครูเสดครั้งแรก
สงครามครูเสด (อังกฤษ: Crusades; อาหรับ: الحروب الصليبيةอัลฮุรูบ อัศศอลีบียะหฺ หรือ الحملات الصليبية อัลฮัมลาต อัศศอลีบียะหฺ แปลว่า "สงครามไม้กางเขน") เป็นชุดสงครามรบนอกประเทศทางศาสนา ที่ถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 และศาสนจักรคาทอลิก มีเป้าหมายที่แถลงไว้เพื่อฟื้นฟูการเข้าถึงที่ศักดิ์สิทธิ์ในและใกล้เยรูซาเล็มของคริสเตียน เยรูซาเล็มเป็นนครศักดิ์สิทธิ์และสัญลักษณ์ของศาสนาเอบราฮัมหลักทั้งสาม (ศาสนายูดาย ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม)[1] ภูมิหลังสงครามครูเสดเกิดเมื่อเซลจุคเติร์กมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือกองทัพไบแซนไทน์เมื่อ ค.ศ. 1071 และตัดการเข้าถึงเยรูซาเล็มของคริสเตียน จักรพรรดิไบแซนไทน์ อเล็กซิสที่ 1 ทรงเกรงว่าเอเชียไมเนอร์ทั้งหมดจะถูกบุกรุก พระองค์จึงทรงเรียกร้องผู้นำคริสเตียนตะวันตกและสันตะปาปาให้มาช่วยเหลือกรุงคอนสแตนติโนเปิลโดยไปจาริกแสวงบุญหรือสงครามศาสนาเพื่อปลดปล่อยเยรูซาเล็มจากการปกครองของมุสลิม[2] อีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะการทำลายล้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคริสเตียนเป็นจำนวนมากและการเบียดเบียนคริสต์ศาสนิกชนภายใต้อัล-ฮาคิม กาหลิปราชวงศ์ฟาติมียะห์
นักรบครูเสดประกอบด้วยหน่วยทหารแห่งโรมันคาทอลิกจากทั่วยุโรปตะวันตก และไม่อยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชารวม สงครามครูเสดชุดหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พุ่งเป้าต่อมุสลิมในเลแวนต์ (Levant) เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1095 ถึง 1291 นักประวัติศาสตร์ให้ตัวเลขสงครามครูเสดก่อนหน้านั้นอีกมาก หลังมีความสำเร็จในช่วงแรกอยู่บ้าง สงครามครูเสดช่วงหลังกลับล้มเหลว และนักรบครูเสดถูกบังคับให้กลับบ้าน ทหารหลายแสนคนกลายเป็นนักรบครูเสดโดยการกล่าวปฏิญาณ[3] สมเด็จพระสันตะปาปาให้การไถ่บาปบริบูรณ์ (plenary indulgence) แก่ทหารเหล่านั้น สัญลักษณ์ของนักรบเหล่านี้ คือ กางเขน คำว่า "ครูเสด" มาจากภาษาฝรั่งเศส หมายถึง การยกกางเขนขึ้น ทหารจำนวนมากมาจากฝรั่งเศสและเรียกตนเองว่า "แฟรงก์" ซึ่งกลายเป็นคำสามัญที่มุสลิมใช้[4]
คำว่า "ครูเสด" ยังใช้อธิบายการทัพที่มีเหตุจูงใจทางศาสนาที่ดำเนินระหว่าง ค.ศ. 1100 และ 1600 ในดินแดนนอกเหนือไปจากเลแวนต์ โดยมักเป็นสงครามกับพวกนอกศาสนา นอกรีตและประชาชนภายใต้การห้ามบัพพาชนียกรรม (excommunication) ด้วยเหตุผลด้านศาสนา เศรษฐกิจและการเมืองผสมกัน การแข่งขันกันระหว่างคริสเตียนและมสุลิมยังนำไปสู่พันธบัตรระหว่างกลุ่มแยกศาสนาต่อคู่แข่งของตน เช่นคริสเตียนเป็นพันธมิตรกับรัฐสุลต่านรูมที่นับถืออิสลามระหว่างสงครามครูเสดครั้งที่ห้า
สงครามครูเสดส่งผลกระทบใหญ่หลวงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมต่อยุโรปตะวันตก มันส่งผลให้จักรวรรดิไบแซนไทน์ที่นับถือคริสต์อ่อนแอลงมาก และเสียให้แก่เติร์กมุสลิมในอีกหลายศตวรรษต่อมา เรกองกิสตา สงครามอันยาวนานในคาบสมุทรไอบีเรีย ซึ่งกำลังคริสเตียนพิชิตคาบสมุทรคืนจากมุสลิม มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสงครามครูเสด
สงครามครูเสดแต่ละครั้ง
มีสงครามครูเสดเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ครั้งที่สำคัญที่ใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 11 ถึง 13 ซึ่งมีสงครามใหญ่ๆเกิดขึ้นถึง 9 ครั้งในมหาสงครามครั้งนี้และยังมีสงครามย่อยๆเกิดอีกหลายครั้งในระหว่างนั้น สงครามบางครั้งก็เกิดขึ้นภายในยุโรปเอง เช่น ที่สเปน และมีสงครามย่อยๆเกิดขึ้นตลอดศตวรรษที่ 16 จนถึงยุคเรอเนสซองซ์ และการปฏิรูปศาสนา

สงครามครูเสดครั้งที่ 1 ค.ศ. 1095-1101

http://bits.wikimedia.org/static-1.21wmf7/skins/common/images/magnify-clip.png
สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ในสภาแห่งเคลียมอนท์ประกาศให้แย่งชิงแดนศักดิสิทธิ์คืน
เริ่มต้นเมื่อปี 1095 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Urban II) แห่งกรุงโรม รวบรวมกองทัพชาวคริสต์ไปยังกรุงเยรูซาเลม ช่วงแรกกองทัพของปีเตอร์ นักพรต(Peter the Hermit) นำล่วงหน้ากองทัพใหญ่ไปก่อน ส่วนกองทัพหลักมีประมาณ 50,000 คนซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศฝรั่งเศส นำโดย โรเบิร์ต เคอร์โทส ดยุกแห่งนอร์มังดีโอรสของสมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ
ในที่สุดเมื่อปี 1099 กองทัพก็เดินทางจากแอนติออคมาถึงกำแพงเมือง และยึดฐานที่มั่นใกล้กำแพงเข้าปิดล้อมเยรูซาเลมไว้ กองกำลังมุสลิมที่ได้รับการขนานนามว่า ซาระเซ็น ได้ต่อสู้ด้วยความเข้มแข็ง ทว่าท้ายที่สุดนักรบครูเสดก็บุกฝ่าเข้าไป และฆ่าล้างทุกคนที่ไม่ใช่ชาวคริสต์กระทั่งชาวมุสลิมในเมืองหรือชาวยิวในสถานที่ทางศาสนาก็ล้วนถูกฆ่าจนหมด เหลือเพียงผู้ปกครองเดิมในขณะนั้นซึ่งได้รับอนุญาตให้ออกไปได้ แต่ทว่าข่าวการรบนั้นไม่อาจไปถึงพระสันตะปาปา เนื่องจากพระองค์สิ้นพระชนม์ในอีกไม่กี่วันถัดมา
ผู้นำเหล่านักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับเลือกคือ ก็อดฟรีย์ แห่ง บูวียอง ซึ่งอยู่ในตำแหน่งนานหนึ่งปีจึงเสียชีวิต เดือนกรกฎาคมปี 1100 บอลด์วินจากเอเดสซาจึงขึ้นสืบเป็นกษัตริย์ พระองค์อภิเษกกับเจ้าหญิงอาร์เมเนีย แต่ไร้รัชทายาท พระองค์สวรรคตในปี 1118 ผู้เป็นราชนัดดานามบอลด์วินจึงครองราชย์เป็นกษัตริย์บอลด์วินที่ 2 แห่งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ มีราชธิดา 3 พระองค์ และที่น่าสนใจคือครั้งนี้บัลลังก์สืบทอดทางธิดาองค์โตหรือมเหสี และพระสวามีจะครองราชย์แทนกษัตริย์องค์ก่อน
สงครามครูเสดมีสาเหตุหลักมาจากความแตกต่างทางความเชื่อในศาสนาแต่ละศาสนา จนทำให้ไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งผู้เริ่มต้นคือชาวมุสลิมต้องการครอบครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คือ กรุงเยรูซาเลม นอกจากนั้นเหตุผลทางการเมืองก็เป็นอีกสาเหตุของสงครามด้วย เพราะในสมัยนั้นเศรษฐกิจในยุโรบตกต่ำ บิช๊อปผู้นำศาสนาในโรมันคาทอลิกเรืองอำนาจมาก และมีอำนาจเหนือกษัตริย์ และครอบครองทรัพย์สินมหาศาล ขนาดมีความเชื่อในตอนนั้นว่า ถ้าเป็นไปได้พ่อแม่ทุกคนอยากให้บุตรชายของตนเป็นนักบวชเพื่อจะเป็นบิช๊อบ หรือโบ๊ป ผู้นำศาสนา
สงครามครูเสดได้คร่าชีวิตและทรัพย์สินของมนุษยชาติอย่างมากมายมหาศาล เพราะบิช๊อบอ้างว่าเขาสามารถล้างบาปให้กับนักรบครูเสดได้ และอนุญาตให้ปล้น ฆ่า ยึดทรัพย์พวกนอกศาสนาได้ ซึ่งหลัการนี้ไม่มีในพระคำภีร์ไบเบิ้ล อีกทั้งขุนนางในสมัยนั้นต้องการยึดทรัพย์สินของพวกยิวที่ร่ำรวย และต้องการมีอิทธิพลในยุโรบไปจนถึงตะวันออกกลางจึงใช้ข้ออ้างของศาสนามาอ้างในการทำสงครามครั้งนี้
ผลของสงครามครูเสดนี้ฆ่าคนไปจำนวนมากมายนับจากยิวในยุโรบไปจนถึงยิวในเยรูซาเร็ม และทำให้ชาวมุสลิมและคริสเตียนบาดหมางกันทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ทั้งสองศาสนา แม้ทั้งสองจะมีความต่างกันแต่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในดินแดนแถบนั้น และสงครามครูเสดทำให้ความขัดแย้งเหล่านั้นยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ผลของสงครามครูเสดนั้น ทำให้ยุโรปเกิดความเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ทำให้เกิดการติดต่อระหว่าง โลกตะวันตกและตะวันออก ในรูปแบบการทำการค้า ซึ่งเรียกว่า ยุคปฏิรูปการค้า และ ทำให้เกิดยุก ฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ การการสร้างสถาปตยกรรมที่รวมกันของสองศาสนา ตลอดจนความรู้ การศึกษาขึ้นมาด้วย
สงครามครูเสดครั้งที่ 2 (11471149)
ลัทธิศักดินา (Feudalism) ที่พวกครูเสดนำมาใช้ในเอเชียน้อย (Asia Minor )นี้ได้ระบาดในหมู่พวกมุสลิมเช่นกัน พวกมุสลิมชนชาติต่าง ๆ ในตะวันออกกลางต่างก็แก่งแย่งถืออำนาจกัน แตกออกเป็นหลายนคร
อิมาดุดดีน ซังกี (Imaduddin Zangi) ผู้เป็นบุตรคนหนึ่งของ อัก สุนกูร อัลฮาญิบ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองฮะลับ หรืองอเลปโป (ภาษาละติน: Aleppo) ภายใต้อาณาจักรของ มะลิกซาห์ ใน ค.ศ. 1127 ได้เป็นอะตาเบก (เจ้านคร) แห่งโมสุล และต่อมา 1128 ก็ได้รวบรวมอเลปโปเข้าอยู่ใต้อำนาจของตน โดยเข้าข้างกษัตริย์แห่งสัลญูก ซึ่งกำลังแย่งชิงเขตแดนต่าง ๆ ของอาณาจักรอับบาสียะหฺ ในปี ค.ศ. 1135 เขาพยายามตีนครดามัสคัส เมื่อรวบรวมให้อยู่ใต้อำนาจ แต่ก็ไม่สำเร็จ ระหว่างทางที่ถอยทัพกลับไปอเลปโป ก็ได้เข้าตีนครฮิมสฺ เพื่อยึดมาเป็นของตน แต่ตีไม่สำเร็จ สองปีต่อมา ซังกีย้อนกลับมาตีนครฮิมสฺอีกครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จอีกเช่นกัน ทางนครดามัสคัสเมื่อกลัวว่าซังกีจะยกทัพมาประชิตเมืองอีกครั้ง ก็ได้ผูกสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรเยรูซาเลมของพวกครูเสด
ซังกียกทัพไปตีพวกครูเสด จนเกิดปะทะกันที่บารีน ฟูล์ก เจ้าราชอาณาจักรเยรูซาเลมพ่ายแพ้ พากองทัพที่รอดตายหนีออกจากนครเยรูซาเลม ซังกีได้ผูกสัมพันธไมตรีกับนครดามัสคัส เมื่อเห็นว่าตนไม่มีความสามารถที่จะเอาชนะได้ ประกอบกับได้ข่าวว่า จักรพรรดิยอห์น คอมเนนุส (John Comnenus) ได้ยึดเอานครอันติออก ที่พวกครูเสดปกครองอยู่นั้น เข้ามาอยู่ในอาณาจักรไบแซนไทน์ และได้ส่งกองทัพมาประชิตเมืองอเลปโปของตน
พวกครูเสดที่ส่งมาโดยจักรพรรดิยอห์น คอมเนนุส (John Comnenus) พวกนี้ยึดเมืองบุซาอะ (Buzaa) ได้ฆ่าพวกผู้ชายทั้งหมดแล้วกวาดต้อนผู้หญิงและเด็กไปเป็นทาส
แม้ซังกีจะวางแผนการเพื่อยึดนครดามัสคัสอีกในเวลาต่อมา ถึงขั้นกับสมรสกับนางซุมุรรุด มารดาเจ้านคร ด้วยการยกเมืองฮิมสฺเป็นสินสอด และต่อมาเจ้านครก็ถูกลอบสังหาร ซังกีก็ไม่อาจจะยึดเอานครดามัสคัสเป็นของตนได้ เวลาต่อมา นครดามัสคัสก็กลับไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพวกครูเสดอีกครั้ง และได้ร่วมกันโจมตีกองทัพของซังกีที่บานิยาส
ซังกีได้ยกทัพเข้าตีนครเอเดสสาที่อยู่ภายใต้พวกครูเสดแตกเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1114 จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครูเสดครั้งที่ 2
ซังงีถูกทาสรับใช้ของตน ซึ่งเป็นชาวแฟรงก์ ลอบสังหารเมื่อวันที่ 5 เราะบีอุษษานีย์ 541 ตรงกับวันที่ 14 กันยายน 1146 ซังงีมีบุตร 4 คน ล้วนเป็นคนมีความสามารถทั้งสิ้น ในระหว่างความยุ่งยากนี้พวกคริสต์ในเมืองเอเดสสา คิดกบฏฆ่าทหารมุสลิมที่รักษาเมืองและได้รับความช่วยเหลือจากพวกแฟรงก์ ภายใต้การนำของโยสเซลิน (Joscellin) ยึดเมืองเอเดสสาได้ แต่บุตรสองคนของซังงี ชื่อ นูรุดดีน มะฮฺมูด (ฝรั่งเรียก Noradius) ตีเมืองเอเดสสากลับคืนมาได้ พวกที่ก่อกบฏและทหารแฟรงก์ถูกฆ่า พวกอาร์มิเนียนที่เป็นต้นคิดกบฏถูกเนรเทศ และนูรุดดีนสั่งให้รื้อกำแพงเมือง ผู้คนต่างหนีออกจากเมืองจนเมืองเอเดสสากลายเป็นเมืองร้าง
การสูญเสียเมืองเอเดสสาเป็นครั้งที่ 2 นี้ ได้ก่อให้เกิดการโฆษณาขนานใหญ่ในยุโรป นักบุญเซ็นต์เบอร์นาร์ด (Bernard Clairvaux) ซึ่งฉลาดในการพูดและได้ฉายาว่า ปีเตอร์นักพรตคนที่สอง ได้เที่ยวเทศนาปลุกใจนักรบ ให้ร่วมกันป้องกันสถานกำเนิดแห่งศาสนาคริสต์ เหตุนี้ทำให้พวกคริสเตียนตกใจกลัวยิ่งนักว่า พวกสัลญูกตุรกีจะยกทัพมาตียุโรป และตนจะไม่ได้เป็นเจ้าของศาสนสถานในปาเลสไตน์อีก การปลุกใจครั้งนี้ไม่เร้าใจแต่เพียงขุนนาง อัศวินและสามัญชน ซึ่งเป็นส่วนในสงครามครูเสดครั้งแรกเท่านั้น พวกกษัตริย์ต่าง ๆ ก็พลอยนิยมไปด้วย พระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศสได้ถือเอาสงครามครูเสดเป็นเครื่องเบี่ยงบ่ายการกระทำอันโหดร้าย ต่อพลเมืองบางพวกที่เป็นกบฏต่อพระองค์ กษัตริย์คอนราดที่ 3 แห่งเยอรมันเข้าร่วมทัพด้วย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1147 ข้างพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศส มีพระมเหสีร่วมไปในกองทัพด้วย ชื่ออิเลนอร์ (Eleanor of Guienne มเหสีคนนี้ต่อมาไปสมรสกับพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 ของอังกฤษ) การที่ราชินีเข้าร่วมกองทัพด้วยทำให้ผู้หญิงฝรั่งเศสอีกจำนวนมากอาสาเข้ากองทัพครูเสด ซึ่งคราวนั้นมีพลประมาณ 900,000 คน พวกฝรั่งเศสได้กระทำชู้กับหญิงในกองทัพอย่างเปิดเผย กองทัพของสองกษัตริย์ได้รับการต่อต้านและเสียหายอย่างหนัก
ส่วนหนึ่งกองทัพของกษัตริย์คอนราดถูกทำลายที่เมืองลาซิกียะหฺ (ภาษาละติน: Laodicea หรือ Latakia) ส่วนกองทัพของพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 ที่ยกมาทางทะเลก็ถูกโจมตียับเยินโดยเฉพาะที่เมืองก็อดมูส (Babadagh ปัจจุบันในตุรกี ภาษาละติน: Cadmus) อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกครูเสดมีกำลังพลมาก จึงเหลือรอดมาถึงเมืองอันติออก ซึ่งเวลานั้นพวกขุนนางและอัศวินจำนวนมากพักอยู่ในเมืองอันติออก ซึ่งเวลานั้นเรย์มอง ผู้เป็นลุงของราชินีอีเลนอร์ เป็นผู้ปกครองเวลานั้นพวกขุนนางและอัศวินจำนวนมากพักอยู่ในเมืองอันติออกเช่น เคาน์เตสแห่งดูลูส (Countess of blois) เคาน์เตสแห่งรูสสี (Countess of Roussi) ดัชเชสแห่งบุยยอง (Duchess of Bouillon), Sybille แห่งฟแลนเดอร์ส และสตรีของผู้สูงศักดิ์อื่น ๆ อีก แต่จอมราชินีของพวกเขา คือมเหสีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 เมื่อพักผ่อนและสนุกสนานกับพวกผู้หญิงเพียงพอแล้ว พวกครูเสดก็ยกทัพเข้าล้อมเมืองดามัสคัส แต่ไม่สำเร็จ เพราะนูรุดดีน และสัยฟุดดีน อัลฆอซี บุตรทั้งสองของซังกี ได้ยกทัพมาช่วย ทั้งกษัตริย์คอนราดแห่งเยอรมนีและพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศสได้เลิกทัพกลับยุโรป พวกครูเสดต้องล่าทัพกลับบ้านเมืองด้วยความผิดหวังและสูญเสียอย่างหนัก
ส่วนพวกครูเสดที่มาจากพวกยุโรปเหนือ ก็ได้เคลื่อนทัพจนถึงโปรตุเกส แล้วได้ร่วมมือกับกษัตริย์อัลฟอนโซ เพื่อโจมตีนครลิสบอน และขับไล่พวกมุสลิมออกจากนครนี้ในปี 1147กองทัพครูเสดจากเยอรมันได้เข้าไปโจมตีพวกสลาฝที่อยู่รอบอาณาเขตอาณาจักรเยอรมัน 
สงครามครูเสดครั้งที่ 3 (11871192)
ศอลาฮุดดีน อัลอัยยูบีย์ ได้ตีเอานครเยรูซาเลมกลับคืนมาเป็นของพวกมุสลิมอีกครั้งในปี 1187
เมื่อศอลาฮุดดีนได้ข่าวพวกแฟรงก์ยกทัพมา จึงประชุมนายทัพโดยให้ความเห็นว่าจะโจมตีพวกนี้ขณะเดินทัพอยู่ แต่พวกนายพลว่าให้ตีเมื่อมาถึงชานเมืองอักกะ (Acre) พวกครูเสดได้ตั้งทัพล้อมเมืองนี้ไว้ และปีกข้างหนึ่งจดทะเล ทำให้สามารถรับเสบียงจากยุโรปได้สะดวก ถ้าศอลาฮุดดีนได้เริ่มโจมตีพวกนี้ขณะเดินทาง ก็คงไม่ประสบสถาณะคับขันเช่นนี้ พวกตุรกีจากเมืองใกล้ ๆ ก็ยกทัพมาช่วย และในวันที่ 1 ชะอฺบาน 585 (14 กันยายน 1189 ) ศอลาฮุดดีนได้เริ่มโจมตีพวกครูเสด หลานชายของท่านคนหนึ่งชื่อ ตะกียุดดีน ได้แสดงความกล้าหาญมากในการรบ ตอนนี้ทหารศอลาฮุดดีนมีกำลังน้อยกว่าพวกครุเสดมาก เพราะต้องกระจายกำลังป้องกันเมืองหน้าด่านต่าง ๆ เช่นที่ยืนยันเขตแดนติดเมืองตริโปลี, เอเดสสา, อันติออก อเล็กซานเดรีย ฯลฯ ในรอบนอกเมืองอักกานั้น พวกครูเสดถูกฆ่าราว 10,000 คน ได้เกิดโรคระบาดขึ้นเพราะด้วยศพทหารเหล่านี้ เนื่องจากติดพันอยู่การสงคราม ไม่สามารถรักษาที่รบให้สะอาดได้ ศอลาฮุดดีนเองได้รับโรคระบาดนี้ด้วย แพทย์แนะนำให้ถอนทหารและได้ยกทัพไปตั้งมั่นอยู่ที่ อัลคอรรูบะหฺ พวกครูเสดจึงยกทัพเข้าเมืองอักกาและเริ่มขุดคูรอบตัวเมือง
ศอลาฮุดดีนได้มีหนังสือไปยังสุลฎอนของมอร็อคโคให้ยกทัพมาสมทบช่วยแต่พวกนี้ได้ปฏิเสธ ในฤดูใบไม้ผลิศอลาฮุดดีนได้ยกทัพมาโจมตีเมืองอักกาอีก พวกครูเสดได้เสริมกำลังมั่นและสร้างหอคอยหลายแห่ง แต่ทั้งหมดถูกกองทัพศอลาฮุดดีนยิงด้วยด้วยลูกไฟ เกิดไฟไหม้ทำลายหมด ตอนนี้กำลังสมทบจากอียิปต์มาถึงทางเรือและกำลังการรบจากที่อื่นมาด้วย พวกแฟรงก์เสียกำลังการรบทางแก่อียิปต์อย่างยับเยิน พวกครูเสดถูกฆ่าและเสียกำลังทัพมาก แต่ในปลายเดือนกรกฎาคม 1190 เคานต์เฮนรี่แห่งแชมเปญ ผู้มีสายสัมพันธ์กับพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสได้ยกทัพหนุนมาถึง ศอลาฮุดดีนได้ถอยทัพไปตั้งมั่นที่อัลคอรรูบะหฺอีก ได้ทิ้งกองทหารย่อย ๆ ไว้ ซึ่งได้ต่อสู้พวกครูเสดอย่างกล้าหาญ ตอนนี้พวกครูเสดไม่สามารถคืบหน้าได้ จึงจดหมายไปยังโปีปขอให้จัดทัพหนุนมาช่วย พวกคริสเตียนได้หลั่งไหลกลับมาสมทบพวกครูเสดอีกครั้ง เพราะถือว่าการรบ"พวกนอกศาสนา"ครั้งนี้ทำให้ตนถูกเว้นบาปกรรมทั้งหมดและได้ขึ้นสวรรค์ ศอลาฮุดดีนจัดทัพรับมือพวกนี้อย่างเต็มที่ ให้ลูกชายของตนชื่อ อะลีย์ อุษมาน และฆอซี อยู่กลางทัพ ส่วนปีกทางขวาให้น้องชายชื่อสัยฟุดดีนเป็นแม่ทัพ ทางซ้ายให้เจ้านครต่าง ๆ คุม แต่ในวันประจัญบานกันนั้นตัวศอลาฮุดดีนเองป่วย จึงได้เฝ้าดูการสุ้รบจากยอดเขาแห่งหนึ่ง พวกครูเสดถูกตีฟ่ายตกทะเลได้รับความเสียหายอย่างหนัก พวกนี้เริ่มขาดแคลนอาหารและโดยที่ฤดูหนาวย่างเข้ามา จึงพักการรบ
เมื่อถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ คือเดือนเมษายน 1191 พวกครูเสดได้รับทัพหนุนเพิ่มขึ้นอีก โดยพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสได้ยกทัพมา พร้อมกันนั้นพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์แห่งอังกฤษก็ยกทัพมาอีกด้วย มีเรือรบมา 20 ลำ เต็มไปด้วยทหารและกระสุน กำลังหนุนของศอลาฮุดดีนมาไม่พร้อม ทหารมุสลิมในเมืองอักกามีกำลังน้อยกว่าจึงขอยอมแพ้พวกครุเสด โดยแม่ทัพมุสลิมมีนคนหนึ่งชื่อ มัชตูบ ผู้คุมกำลังป้องกันอักกาได้อุทรต่อพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสแต่ถูกปฏิเสธเว้นแต่ พวกมุสลิมจะยอมยกเมืองเยรูซาเลมให้ พวกมุสลิมจึงกลับสู้รบอีกจนสุดชีวิต ขณะการล้อมเมืองและการสู้รบอยู่เป็นเช่นนี้ได้เกิดโรคระบาดเกิดขึ้น ในที่สุดมีเงื่อนไขว่า พวกมุสลิมจะต้องคืนไม้กางเขน(ดั้งเดิมสมัยพระเยซู) และต้องเสียค่าปรับเป็นทอง 200,000 แท่ง แต่เนื่องจากต้องเสียเวลาหาทองจำนวนเท่านี้ กษัตริย์ริชาร์ดใจสิงห์แห่งอังกฤษ ผู้ที่นักประวัติศาสตร์เคยยกย่องและชื่นชมกันนั้นได้จับทหารมุสลิมจำนวน 27,000 คน ออกจากเมืองและสับต่อหน้าต่อตาคนทั้งหลาย เมืองอักกาตกอยู่ในมือพวกครูเสดที่บ้าศาสนาเหล่านี้ ส่วนทัพศอลาฮุดดีนต้องถอยทัพไปตั้งที่อื่นเพราะกำลังน้อยกว่าและกำลังหนุนไม่มีพอ ตอนหนึ่งมีเรือจากอียิปต์ลำเลียงเสบียงมาช่วย แต่เกือบถูกครูเสดยึดได้ นายเรือจึงสั่งให้จมเรือพร้อมทั้งคนในเรือทั้งหมด
กองทัพครูเสดภายใต้การนำของพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ได้บุกไปยังอัสก็อลาน (ภาษาละติน: Ascolon) ศอลาฮุดดีนได้ยกกองทัพไปยันไว้ได้มีการรบกันอย่างกล้าหาญถึง 11 ครั้ง ในการรบที่อัรสูฟ ศอลาฮุดดีนเสียทหารราว 8,000 คน ซึ่งเป็นทหารชั้นดีและพวกกล้าตาย เมื่อเห็นว่าอ่อนกำลังป้องกันปาเลสไตน์ไม่ได้ จึงยกทัพไปยังอัสก็ออลาน อพยพผู้คนออกหมดแล้วรื้ออาคารทิ้ง เมื่อพระเจ้าริชาร์ดมาถึง ก็เห็นแต่เมืองร้าง จึงทำสัญญาสงบศึกด้วย โดยได้ส่งทหารไปพบน้องชายศอลาฮุดดีนชื่อ สัยฟุดดีน (ภาษาละติน: Saphadin) ทั้งสองได้พบกัน ลูกของเจ้านครครูเสดคนหนึ่งเป็นล่าม พระเจ้าริชาร์ดจึงให้บอกความประสงค์ที่อยากให้ทำสัญญาสงบศึก พร้อมทั้งบอกเงื่อนไขด้วย ซึ่งเป็นเงือนไขที่ฝ่ายมุสลิมยอมรับไม่ได้ การพบกันครั้งนั้นไม่ได้ผล
ฝ่ายมาร์ควิสแห่งมองเฟอร์รัดผู้ร่วมมาในกองทัพด้วยเห็นว่าการทำสัญญาโอ้เอ้ จึงส่งสารถึงศอลาฮุดดีน โดยระบุเงื่อนไขบางอย่าง แต่สัญญานี้ไม่เป็นผลเช่นกัน ต่อมาพระเจ้าริชาร์ดขอพบศอลาฮุดดีนและเจรจาเรื่องสัญญาสงบศึกอีก โดยเสนอเงื่อนไขว่า พวกครูเสดต้องมีสิทธิครอบครองเมืองต่าง ๆ ที่ได้ตีไว้ และฝ่ายมุสลิมต้องคืนเยรูซาเลมให้พวกครูเสด พร้อมกับไม้กางเขนที่ทำด้วยไม้ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นไม้ที่พระเยซูถูกพวกยิวตรึงทรมานด้วย ศอลาฮุดดีนปฏิเสธที่จะยกเมืองเยรูซาเลมให้พวกครูเสด แต่ยอมในเรื่องให้เอาไม้กางเขนที่กล่าวในเงื่อนไขที่ว่า พวกครูเสดต้องปฏิบัติตามสัญญาของตนอย่างเคร่งครัด การเจรจานี้ก็ไม่เป็นผลอีกเช่นกัน พระเจ้าริชาร์ดจึงหันไปเจรจากับสัยฟุดดีนใหม่โดยให้ความเห็นว่าการเจรจานี้ จะเป็นผลบังคับเมื่อศอลาฮุดดีนยินยอมด้วยในปั้นปลาย เงื่อนไขมีว่า
1.                        กษัตริย์ริชาร์ดยินดียกน้องสาวของเขาผู้เป็นแม่หม้าย(แต่เดิมเป็นมเหสีของกษัตริย์ครองเกาะสิซิลี)ให้แก่สัยฟุดดีน(น้องชายศอลาฮุดดีน)
2.                  ของหมั้นในการสมรสนี้คือ กษัตริย์ริชาร์ดจะยกเมืองทั้งหมดที่พระองค์ตีได้ ตามชายทะเลให้น้องสาวของตน และศอลาฮุดดีนก็ต้องยกเมืองต่าง ๆ ที่ยึดได้ให้ น้องชายเป็นการทำขวัญเช่นกัน
3.                                                ให้ถือเมืองเยรูซาเลมเป็นเมืองกลาง ยกให้แก่คู่บ่าวสาวนี้ และศาสนิกของทั้งสองฝ่ายมีสิทธิ์ที่จะใปมาพำนัก อยู่ในเมืองนี้อย่างเสรี บ้านเมืองและอาคารทางศาสนาที่ปรักหังพัง ต่างช่วยกันซ่อมแซม
ศอลาฮุดดีนยอมตามเงื่อนไขนี้ แต่สัญญาก็ไม่เป็นผลอีก เพราะพวกพระในศาสนาคริสต์ไม่ยอมให้พวกคริสเตียนยกลูกสาว, น้องสาว หรือผู้หญิงฝ่ายตนไปแต่งงานกับมุสลิมผู้ที่พวกเขาถือว่าเป็นพวกนอกศาสนาพวกบาทหลวงได้ชุมนุมกันที่จะขับพระเจ้าริชาร์ดออกจากศาสนาคริสต์ให้ตกเป็นคน นอกศาสนาไปด้วย และได้ขู่เข็ญน้องสาวของพระองค์ต่าง ๆ นานา
กษัตริย์ริชาร์ดจึงได้เข้าพบสัยฟุดดีนอีก ขอให้เปลี่ยนจากการนับถืออิสลามมาเป็นคริสเตียน แต่สัยฟุดดีนปฏิเสธ ในขณะเดียวกันกษัตริย์ริชาร์ดเกิดการรำคาญการแทรกแซงของมาร์ควิสแห่งมอง เฟอรัด จึงจ้างให้ชาวพื้นเมืองลอบฆ่า เมื่อเรื่องมาถึงเช่นนี้ กษัตริย์ริชาร์ดก็ท้อใจอยากยกทัพกลับบ้าน เพราะตีเอาเยรูซาเลมไม่ได้ ได้เสนอเงื่อนไขที่จะทำสัญญาสงบศึกกับศอลาฮุดดีนไม่ยอมต่อเงื่อนไขบางข้อ เพราะบางเมืองที่กล่าวนั้นมีความสำคัญต่อการป้องกันอาณาจักรอย่างยิ่ง ไม่สามารถปล่อยให้หลุดมือไปได้ แต่ความพยายามของนักรบทั้งสองนี้ยังคงมีต่อไป จนในที่สุดเมื่อวันที่ 22 ชะอฺบาน 588 (2 กันยายน 1192) ทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาสงบศึกเป็นการถาวรและกษัตริย์ริชาร์ดได้ยกทัพกลับบ้านเมือง เขายกทัพผ่านทางตะวันออกของยุโรปโดยปลอมตัว แต่กลับถูกพวกเป็นคริสเตียนจับไว้ได้คุมขังไว้ ทางอังกฤษต้องส่งเงินจำนวนมากเพื่อไถ่ตัวเขา
สงครามครูเสดครั้งที่ 3 ก็ยุติลงเพียงนี้ ด้วการสูญเสียชีวิตมนุษย์นับแสน ผู้คนนับล้านไร้ที่อยู่ บ้านเมืองถูกทำลาย หลังจากนั้นศอลาฮุดดีนได้ยกทหารกองเล็ก ๆ ไปตรวจตามเมืองชายฝั่ง และซ่อมแซมสถานที่ต่าง ๆ และได้กลับมาพักที่ดามัสคัสพร้อมครอบครัว จนกระทั่งถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 27 ศอฟัร 589 (4 มีนาคม 1193) มีอายุเพียง 55 ปี 
สงครามครูเสดครั้งที่ 4


สงครามครูเสดครั้งที่ 4 (อังกฤษ: Fourth Crusade) (ค.ศ. 1202-ค.ศ. 1204) เป็นสงครามครูเสด[3][4]ครั้งที่สี่ที่เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1202 และสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1204 จุดประสงค์แรกของสงครามก็เพื่อยึดเยรูซาเลมคืนจากมุสลิม แต่ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1204 นักรบครูเสดจากยุโรปตะวันตกก็เข้ารุกรานและยึดเมืองคอนสแตนติโนเปิลที่เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์ของอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์แทนที่ ซึ่งถือกันว่าเป็นวิกฤติการณ์สุดท้ายที่ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างคริสต์ศาสนจักรตะวันออกและตะวันตก (East-West Schism) ระหว่างอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ และ โรมันคาทอลิก

ภูมิหลัง
หลังจากความล้มเหลวของสงครามครูเสดครั้งที่ 3 (ค.ศ. 1189-ค.ศ. 1192) แล้วทางยุโรปก็หมดความสนใจในการเข้าร่วมในการต่อต้านมุสลิมในสงครามครูเสดใหม่ เยรูซาเลมมาตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์อัยยูบิด (Ayyubid dynasty) ผู้ปกครองซีเรียทั้งหมดและอียิปต์นอกจากเมืองสองสามเมืองริมฝั่งทะเลที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของนักรบครูเสดของราชอาณาจักรเยรูซาเลมที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เอเคอร์ และในราชอาณาจักรบนเกาะไซปรัสที่ก็ก่อตั้งระหว่างสงครามครูเสดครั้งที่ 3
สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 ทรงได้รับตำแหน่งสมเด็จพระสันตะปาปาในปี ค.ศ. 1198 และการเข้าร่วมสงครามครูเสดครั้งใหม่กลายมาเป็นพระประสงค์หลักของพระองค์ แต่ก็ไม่มีพระมหากษัตริย์กี่พระองค์ที่แสดงความสนพระทัยเท่าใดนัก ฝ่ายเยอรมนีเองก็มีความขัดแย้งกับอำนาจของพระสันตะปาปา และอังกฤษและ ฝรั่งเศสก็ยังยุ่งอยู่กับการทำสงครามต่อกัน แต่เมื่อฟุลค์แห่งเนยยี (Fulk of Neuilly) เริ่มเทศน์ก็เริ่มมีผู้กระตือรือร้นรวบรวมกองทัพครูเสดกันในการจัดการแข่งขันการประลองยุทธ (tournament) กันที่เอครี (Écry) โดยธีโอบอลด์ที่ 3 เคานท์แห่งชองปาญ (Theobald III, Count of Champagne) ในปี ค.ศ. 1199 ธีโอบอลด์ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำแต่มาเสียชีวิตเสียก่อนในปี ค.ศ. 1200 โบนิฟาซที่ 1 มาควิสแห่งมอนต์เฟอร์รัต (Boniface I, Marquess of Montferrat) เคานท์จากอิตาลีจึงมารับหน้าที่แทน โบนิฟาซและผู้นำคนอื่นๆ ส่งตัวแทนไปยังสาธารณรัฐเวนิสสาธารณรัฐเจนัว และในนครรัฐต่างๆ เพื่อเจรจาต่อรองทำสัญญาในหาพาหนะในการเดินทางไปโจมตีอียิปต์ เจนัวไม่สนใจกับข้อเสนอ แต่ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1201 ก็มีการเปิดการเจรจากับเวนิสผู้ตกลงขนย้ายทหารครูเสดจำนวน 33,500 คนซึ่งเป็นจำนวนที่ออกจะสูง ข้อตกลงนี้ทางเวนิสต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีในการเตรียมตัวต่างๆ ที่รวมทั้งการสร้างเรือและฝึกกลาสีผู้ควบคุมเรือ ซึ่งทำให้เมืองเวนิสต้องหยุดยั้งการทำมาหากินอื่นๆ คาดกันว่ากองทัพครูเสดจะประกอบด้วยอัศวิน 4,500 (พร้อมกับม้า 4,500 ตัว), ผู้รับใช้ขุนนาง 9,000 คน และ ทหารราบอีก 20,000 คน
กองทัพครูเสดส่วนใหญ่ที่มาจากฝรั่งเศสเดินทางออกจากเวนิส ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1202 ทหารเหล่านี้มาจากบลัวส์ชองปาญอาเมียงส์, แซงต์โปลอีล-เดอ-ฟรองซ์ และ เบอร์กันดี นอกจากนั้นก็ยังมีกองทัพจากบริเวณอื่นในยุโรปที่มีจำนวนพอสมควรเช่นที่มาจากฟลานเดอร์สมอนต์เฟอร์รัต และจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และ สังฆราชคอนราดแห่งฮาลเบอร์ชตัท พร้อมทั้งทหารจากเวนิสเองที่นำโดยเอนริโค ดันโดโลดยุคแห่งเวนิส กองทัพมีจุดประสงค์ที่จะมุ่ตรงไปยังศูนย์กลางของมุสลิมที่ไคโรและพร้อมที่จะเดินทางเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1202 ข้อตกลงนี้ได้รับการอนุมัติโดยสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 โดยมีข้อห้ามการโจมตีรัฐคริสเตียน[5]
[แก้]อ้างอิง
1.            ^ J. Phillips, The Fourth Crusade and the Sack of Constantinople, 106
2.            ^ J. Phillips, The Fourth Crusade and the Sack of Constantinople, 157
3.            ^ CATHOLIC ENCYCLOPEDIA: Crusades[1]
4.            ^ The Crusades[2]
5.            ^ "History of the Church", Innocent III & the Latin East, p.370, Philips Hughes, Sheed & Ward, 1948.

สงครามครูเสดครั้งที่ 5


นักรบครูเสดฟรีเชียนเผชิญกับหอที่ดามิยัตตาในอียิปต์
สงครามครูเสดครั้งที่ 5 (อังกฤษ: Fifth Crusade) (ค.ศ. 1217-ค.ศ. 1221) เป็นสงครามครูเสดที่พยายามยึดเยรูซาเลมและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดคืนโดยเริ่มด้วยการโจมตีรัฐมหาอำนาจของอัยยูบิดในอียิปต์
สมเด็จพระสันตะปาปาโฮโนริอุสที่ 3 ทรงรวบรวมกองทัพครูเสดโดยการนำของเลโอโปลด์ที่ 4 ดยุคแห่งออสเตรีย (Leopold VI, Duke of Austria) และ สมเด็จพระเจ้าแอนดรูว์ที่ 2 แห่งฮังการี ต่อมาในปี ค.ศ. 1218 กองทัพเยอรมนีที่นำโดยโอลิเวอร์แห่งโคโลญและกองกำลังหลายชาติที่ประกอบด้วยกองทัพชาวเนเธอร์แลนด์เฟลมมิช และฟรีเชียนที่นำโดยวิลเลียมที่ 1 เคานท์แห่งฮอลแลนด์ (William I, Count of Holland) ก็มาร่วม ในการที่จะโจมตีดามิยัตตาในอียิปต์ฝ่ายครูเสดก็ไปเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรสุลต่านแห่งรัมในอานาโตเลียผู้โจมตีอัยยูบิดในซีเรียเพื่อที่ป้องกันไม่ให้นักรบครูเสดต้องเผชิญกับการต่อสู้กับศัตรูพร้อมกันสองด้าน
หลังจากยึดเมืองท่าดามิเอตตาได้แล้วนักรบครูเสดก็เดินทัพลงใต้ต่อไปยังไคโรในเดือนกรกฎาคมในปี ค.ศ. 1221 แต่ต้องหันทัพกลับเพราะเสบียงร่อยหรอลง การจู่โจมยามกลางคืนของสุลต่านอัล-คามิลทำให้ฝ่ายครูเสดเสียงทหารไปเป็นจำนวนมาก อัล-คามิลตกลงในสัญญาสงบศึกแปดปีกับยุโรป
เรียกเข้าสงคราม
ในปี ค.ศ. 1213 สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 ทรงออกพระบัญญัติ “Quia maior” เรียกร้องให้ผู้คนในคริสต์ศาสนจักรเข้าร่วมในสงครามครูเสด แต่ก็ไม่มีพระมหากษัตริย์และพระจักรพรรดิของยุโรปใด้ที่สนพระทัยเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการต่อสู้กันเอง พระสันตะปาปาอินโนเซนต์เองก็ไม่ทรงต้องการความช่วยเหลือจากกลุ่มนี้เพราะเมื่อพระมหากษัตริย์นำการต่อสู้ในสงครามครูเสดครั้งที่ 2 ก็ประสบความล้มเหลว พระองค์จึงทรงสั่งให้มีขบวนแห่, การสวดมนต์ และการเทศนาเพื่อเป็นการชักชวนให้คนทั่วไป ขุนนางระดับรอง และอัศวินเข้าร่วม
อ้างอิง
1.     ^ CATHOLIC ENCYCLOPEDIA: Crusades[1]
2.     ^ The Crusades[2]

คำถามท้ายบท
1.            สงครามครูเสดเกิดจาดปัจจัยอะไร?